วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขุนหลวงวิลังคะ คือใคร ?

 

ขุนหลวงวิลังคะ (พระเจ้าวีวอ แสนหลวง ขุนหลวงบาลังคะ ขุนหลวงบะลังก๊ะ ขุนหลวงพะลังคะ )ต้นกำหนิดเป็นชาวลั๊วหรือละว้าหรือลาวจักราช ซึ่งในอดีตชนกลุ่มนี้ได้ปกครองอาณาจักร ล้านนา รวม 8 ดินแดนเหนือของไทย ซึ่งแต่เดิมได้ขนานนามว่า “นครทัมมิฬา “หรือ “นครมิลังคะกุระ” ซึ่งมีองค์พระอุปติราช ปกครองสืบต่อกันมาจนสิ้น “วงศ์อุปะติ” และเริ่มปกครองใหม่โดย “วงศ์กุนาระ” ซึ่งในสมัยพระเจ้ากุนาระราชา ครองราชย์ได้ทรงเปลี่ยนนามนครมาเป็น”ระมิงค์นคร” และขุนหลวงวิลังคะ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 13 ของระมิงค์นคร ในราชวงศ์กุนาระ เมื่อราวพุทธศักราช 1200


ท่านทรงมีอิทธิฤทธิ์และฝีมือในการพุ่งเสน้า(หอกด้ามยาวมีสองคม) จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว และสิ้น พระชนม์เมื่อพุทธศักราช 1227 เพราะไม่สมหวังในความรักต่อพระนางจามเทวี ที่ปกครองนครหริภุญ ชัย(ลำพูน)ในสมัยเดียวกัน หลังจากขุนหลวงวิลังคะสิ้นพระชนม์แล้ว ชาวลั๊วะ ก็ได้กระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ตามป่า ตามเขาต่างๆ ซึ่งขุนหลวงวิลังคะหรือมะลังก๊ะ กษัตริย์ของชนเผ่าลั๊วะ ได้สร้างอาณาจักรอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ และที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีเมืองสำคัญปรากฏหลักฐานสืบมา เช่น เวียงนพบรี เวียงเชษฐบุรี (เวียงเจ็ดลินปัจจุบัน) และเวียงสวนดอก ก่อนที่จะถูกพระยามังราย แผ่ขยายเข้ามาทำการยึดครอง เพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่

ยุคสมัยที่ขุนหลวงวิลังคะ เรืองอำนาจ ตรงกับสมัยของพระนางจามเทวี กษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญ ชัย(ลำพูน)ผู้มีพระสิริโฉมงดงาม จึงทำให้ขุนหลวงวิลังคะหมายปอง อยากจะได้เป็นชายา แต่พระนางจามเทวีไม่ประสงค์ จะปฏิเสธโดยตรง แต่เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้เกิดการพุ่งเสียเลือดเสียเนื้อได้ ทางพระนางจึงออกอุบายว่า ถ้าหากขุนหลวงวิลังคะ สามารถพุ่งหอกเสน้า(หอกด้ามยาวมีสองคม) จากเชียงใหม่มาถึงลำพูนได้ ก็จะยอมเป็นชายาแต่โดยดี
สำหรับสถานที่ทำการพุ่งหอกนั้น ทางขุนหลวงวิลังคะจะพุ่งลงมาจากยอดดอยปุย ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบริเวณดอยสุเทพ ครั้งแรกที่ลองทดสอบพละกำลังทางขุนหลวงวิลังคะ สามารถพุ่งหอกลงมาจากยอดดอยปุยไปตกบริเวณหลังวัดมหาวัน นอกกำแพงเมืองลำพูน ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า หนองเสน้า เมื่อพระนางจามเทวีทราบว่าทางขุนหลวงวิลังคะ มีความสามารถพุ่งหอกมาถึงเมืองลำพูน พระนางฯจึงวางแผนที่จะกำจัดคุณไสย และทำการข่มกฤติยามนตร์ของขุนหลวงวิลังคะ ด้วยการใช้ซิ่นชั้นในที่เปื้อนเลือดประจำเดือน เย็บติดกับหมวก และซ่อนขนเพชรไว้ในอบเมี่ยงและใช้ปลายใบพลูสอดเข้าไปในโยนี จากนั้นจึงให้ทหารนำส่งมาเป็นของกำนัลแก่ขุนหลวงวิลังคะ

ครั้งเมื่อถึงวันนัดประลองพุ่งหอกเสน้า เมื่อขุนหลวงวิลังคะอมเมี่ยงและสวมหมวกใบนั้น จึงทำให้ไม่สามารถพุ่งหอกเสน้าด้วยพลังมนตราได้อีก หอกได้ตกอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ทำให้พระนางจามเทวีเป็นฝ่ายชนะ ไม่ต้องตกเป็นชายาของกษัตริย์ชาวลั๊วะ

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้ขุนหลวงวิลังคะราช ได้ลุกคิดว่า เพราะเหตุใดอยู่ดีๆจึงเกิดอาการวิงเวียน ใจสั่น เพลียกาย ในวันประลอง จึงรู้ว่าถูกพระนางจามเทวีหลอกและกลั่นแกล้ง เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เกิดความละอายใจ ที่ทำให้ชาวลั๊วะต้องพลอยลำบากกับตนเอง จึงเกิดอารมณ์พุ่งพล่านวิ่งออกไปลานกลางแจ้ง แล้วคว้าหอกเสน้า พุ่งขึ้นฟ้า เมื่อหอกเสน้าดิ่งลงมาจากฟ้า ขุนหลวงวิลังคะก็แบะอกรับหอกเสน้าเสียบทะลุอก ก่อนที่จะสิ้นใจได้เรียกคนใกล้ชิดมาสั่งเสียโดยเปรียบเปรยตนเองว่าเป็นแค่หัวหน้าเผ่าลั๊วะ ไม่มีการศึกษา ไม่มีสติปัญญา มีแต่กำลัง และก่อนที่จะสิ้นใจได้สั่งคนใกล้ชิดอีกว่า ชนเผ่าลั๊วะจะออกจากป่าหาผู้ปกครองที่มั่นคง อย่างพระนางจามเทวีก็ได้ หรือจะตัดสินใจอพยพเข้าป่าให้ห่างเมืองก็ตามใจ จากนั้นก็สิ้นใจ (ตำนานของขุนหลวงวิลังคะยังมีอีกมากมาย ที่นำมาเขียนเป็นแค่บางส่วนเท่านั้นครับและอนุสาวรีย์ขุนหลวงวิลังคะ ตั้งประดิษฐานลานใกล้วัดเมืองก๊ะ ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่)


                  👉👉👉ที่พัก ในเชียงใหม่

ACERA

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขุนบูลม ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรทั้งมวล

ขุนบูลม ต้นราชวงศ์ปฐมกษัตริย์ ผู้รับหน้าที่อาญาสิทธิ์ปกครองจากพญาแถน


ปางนั้นพระยาแถนหลวงจึงให้ท้าวผู้มีบุญ ชื่อว่าขุนบูลมมหาราชาธิราช(บรมมหาราชาธิราช) อันได้อาชญาพระยาแถนแล้ว ก็จึ่งเอารี้พลคนทั้งหลายลงเมือเมืองลุ่มลีดเลียงเมืองเพียงคักค้อย มาอยู่ที่นาน้อยอ้อยหนู อันมีลุ่มเมืองแถนหั้นก่อนแล
ที่น้้นคนทั้งหลายฝูงออกมาแต่น้ำเต้าปูงนั้น ผู้รู้หลักนักปราชญนั้นเขาก็มาเป็นลูกท่านบ่าวเธอขุนบูลมมหาราช และผู้ใช้ข้านั้นเขาก็อยุ่เป็นไพร่ไปเป็นป่า สร้างไฮ่เฮ็ดนากินแล

สรุปความว่า พญาแถนได้เชิญ ขุนบูลมลงมาให้ทำหน้าที่ดูแล เป็นผู้ปกครองผู้คนทั้งหลายที่ออกมาจากน้ำเต้าเคลือนั้น ยังมีนักปราชญ์ราชบัณฑิต ข้าทาสบริวารรับใช้ และให้ที่สวนไร่นา ป่าเขาเพื่อการเลี้ยงดูแลผู้คนเหล่านั้น

และพญาแถนจึงได้เชิญ พระพิษณุกรรมลงมาสร้าง เรือกสวนไร่นาปลูกข้าวปลูกผักผลไม้และหัวมันให้อันควรจะกิน และให้ทอผ้าไว้นุ่งห่มแก่ผู้คนทั้งมวล

พญาแถนจึงได้สั่งสอนแก่ขุนบูลม ผู้เป็นท้าวพญาในเมืองลุ่ม(โลกมนุษย์) กลุ่มคนที่ออกมาจากน้ำเต้าที่มีชื่อว่า ไทยควางให้อกหาขุนควาง  ไทยวี ให้ออกหาขุนวี ไทยเลิงให้ออกหาขุนเลิง ไทยเลนให้ออกหาขุนเลน ไทยลอให้ออกหาขุนลอ และ ให้ชาวเมืองลุ่มเหล่านี้ ได้กินขึ้นให้ส่งขาแก่แถนน ได้กินปลาให้ส่งรอยแก่แถน ให้เฮดแหวนเฮ็ดหัวส่งแก่ล่าม

ถอดความได้ว่า เมื่อ่ขุนบูลมได้รับการบอกกล่าวสั่งสอนจากพญาแถนนั้นว่า กลุ่มคนที่ได้ออกมาจากน้ำเต้าให้รวมกับกลุ่มของตนเองและมีหัวหน้า มืชื่อว่า ไทยควาง คือ ขุนควาง ไทยวี คือขุนวี ไทยเลิง คือขุนเลิง ไทยเลน คือ ขุนเลน ไทยลอ คือขุนลอ
ให้ชาวเมืองเหล่านั้นทำมาหากินเสร็จแล้วให้บูชาแก่แถน เช่น การปลูกข้าวต้องบูชาพระแม่โพสพ หรือ ออกไปทำมาหากินในแว่นแคว้นแดนใดก็ให้ เคารพกราบไว้สถานที่ เจ้าที่ ทางน้ำให้ไหว้พระแม่คงคาเป็นต้น

เมื่อนั้นขุนบูลมได้สร้างบ้านแปงเมืองไพร่ฟ้าประชาราษฎ์รุ่งเรืองในภายหน้านั้น จึงได้มีบุตรชายเกิดขึ้นด้วยภริยา ชื่อนางแอกแดง  ผู้พี่ชื่อ อ้ายขุนลอ  ต่อมา อ้ายผาลาน อ้ายสามจูสง  และจากภริยาอีกท่านหนึ่ง ด้วยลูกเกิดจากนาง ยมพาลา อีก ๓ คน ผู้อ้ายชื่อ ไสผง  งัวอิน และลกกลม  ลูกชายทั้ง ๗ ของขุนบูลมเติบใหญ่มาได้เรียนวิชารู้หลักนักปราชญ์แล้ว ขุนบูลมจึงรำพึงว่า "ลูกกูนี้จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน รู้หลักสร้างบ้านแปงเมือง กูจะแผ่แม่ปลงลูกกูไปก่อบ้านแปงเมืองให้กว้างขวาง ณ ที่ไกลโพ้น

ครั้นนั้น ช้างเขียวงากลมอันได้แต่พญาแถนให้มาจากเมืองฟ้าได้ตายลง ขุนบูลมจึงให้เลื่อยงาช้างก่ำเขียวนั้นเป็นท่อนๆ  ตัดเป็น ๗ ท่อน แบ่งให้ลูกชายทั้งเจ็ดคน ที่ได้เกิดจากภริยาทั้งสองให้ไปสร้างเมืองดังนี้
ขุนลอ ไปสร้างเมือง ชวา  เป็นท้าวเป็นพญาแก่คนทั้งหลาย  ขุนยี่ผาลาน ให้ไปสร้างเมืองหัวแต   สามจูสง ให้ไปสร้างเมืองแกวช่องบัว  ไสผงให้ไปสร้างเมืองยวนโยนก  งัวอินให้ไปสร้างเมืองชาวใต้อโยทธยา  ลกกลมให้ไปสร้างเมืองเชียงคม  ยอสามเจ็ดเจิงให้ไปสร้างเมืองพวน  และได้สอนสั่งลูกชายทั้ง ๗ ดั่งต่อไปนี้

ในภายหน้าผู้ใดอย่าโลภตัณหาอิจฉามักมาก และเอารี้พลช้างม้าไปตกแดนเอาหอกดาบเข่นแพนไปตกท่ง แล้วรบเลวเอาบ้านเมืองกันดังนั้น ให้ผู้นั้นวินาศฉิบหาย ทำอันใดอย่าให้เป็นเ  เขนอันใดอย่าให้ได้ ปลูกไม้อย่าทันตาย ปลูกหวายอย่าทันล่อน ข้อม่อนอย่าให้รึ  ปีมันอย่าให้กว่าง เที่ยวทางให้ฟ้าผ่า เมือป่าให้เสือกิน ไปทางน้ำให้เงือกท่อเรือฉก ไปทางบกให้เสือท่อม้กินมันแล
เมืองอ้ายไว้แก่อ้าย เมืองน้องไว้แก่น้อง อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน อย่าผิดข้องข่มเหงเอาก็พอ เทอญ

ถอดความเป็คำสั่งสอนบอกกล่าวให้แก่ลูกชายทั้ง ๗ ก่อนที่จะไปสร้างเมืองทั้ง ๗ แห่ง หลังจากนั้นไม่นานขุนบูลมก็ถึงแก่อนิจกรรมตายไปตามกรรมของท่านแล พี่น้องจึงได้ร่วมกันสาบาญให้ส่งขาวสารไมตรีสนิทสนมกันไม่ขาด ตามคำสั่งของพ่อแม่ได้สั่งเสียไว้ จึงมีคำกลอนได้กล่าวไว้เป็นตอนว่า

ขุนลอจึงเอิ่นสั่งชาวเมืองว่า

ปู่เย่อแถนถ่องบ้าน          เปาลา
จักจากเจียรไกลตา         ก่อนแล้ว
สิ่งโสมสอดดสภา           แพงโพด พู้นพี่
ขกพี่ให้บุญแผ้ว            แผ่นพื้นนครชวา (หลวงพระบาง)

ยี่ผาลานเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อนาบ่อยน้อย         แถนแถลง
เรียมจักจากจอมแพง   พากข้าง
จักเดินผ่ายผันแสวง     ชมเพื่อน พู้นพี่
ไปแต่งบ้านเมืองกว้าง  แห่งห้องหอแต  (หนองแส)

จูสงเล่าเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อแม่นบ่อนบ้าน     บูรี
จักจากไปจุลนี            ก่อนแล้ว
สมภารพี่ยังมี              เมื่อข่ม เขาพู่น
องอาจขึ้นปางแก้ว     โกฐแท้แท่นบัว  (อานามประกัน)

ไสผงเล่าเอิ้นว่า

ปู่เย่อน้ำเต้าปุ่ง         เติมตน
จักจากไปเินหน ่      ห่างหั้น
โดยคองที่ทางชน    เชียงใหม่
บุญหากมีดังนั้น        อาจสร้างเสวยเมือง (ล้านนา)

งัวอินเล่าเอิ้นว่า

ปู่เย่อพระพ่อเจ้า          บูลมลูกเอย
ลูกเกิดมาสายสม        สืบเชื้อ
จักจากเจียรจอมชม    ชาวอื่นล่ะพ่อ
ไปเสพสุขเสวยเกื้อ     เกิบก้ำอโยทธยา (สยาม)

ลกกลมเล่าเอิ้นว่า

ปู่เย่อแม่เชื้อชาติ           ชาวแถง
ลูกเกิดมีเผือแฝง          ฝ่ายช้าง
จักไปสืบบุญแปล         เป็นเพื่อน  ผาบดู่น
เ็ดหมู่เมืองมอญกว้าง   เกิดก้ำเชียงคม  (คำเกิด)



ราชวงศ์ขุนบรมมหาราชา 
ราชวงศ์ขุนบรมมหาราชา กษัตริย์ของอาณาจักรน่านเจ้า(อ้ายลาว)นั้นได้มีพระโอรส ๙ องค์ และ ๗ ใน ๙ นั้นได้ครองเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรต่างๆในบริเวณที่เรียกว่า "แหลมทอง" ได้แก่:
  1. ขุนลอ (อ้ายลอ)ปกครองเมืองชวา (ปัจจุบันหลวงพระบาง)
  2. ขุนผาล้าน (ยี่ผาล้าน)ปกครองเมืองสิบสองปันนา
  3. ขุนจุลง (สามจุลง)ปกครองเมืองโกดแท้แผนปม (ปัจจุบันเวียดนาม) จัมปา แปลว่า ช่องบัว โกฐแบบช่องบัว
  4. ขุนคำผง (ไสคำผง) ปกครองเมืองเชียงใหม่
  5. ขุนอิน (งั่วอิน) ปกครองเมืองศรีอยุธยา
  6. ขุนกม (ลกกม) ปกครองเมืองหงสาวดี (อินทรปัต)
  7. ขุนเจือง (เจ็ดเจือง) ปกครองเมืองพวน (เชียงขวาง)




ACERA

การสร้างพระรอท ตำนานจามเทวี



พระนางจามเทวี ได้รับอัญเชิญให้เสด็จจากเมืองละโว้มาเสวยราชย์ ณ กรุงหริภุญไชย ซึ่งพระฤาษีสี่ตน ได้สร้างถวายขึ้นนั้นพระนางได้ทรงสถาปนาพระอาราม ประจำทวารทั้งสี่ของพระนครขึ้นเรียกว่า จตุรพุทธปราการ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พระนคร ให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ มีความร่มเย็นผาสุข ทั้งปกป้องโพยภัย จากอริราชศัตรูภายนอก และฤาษีทั้งสี่ก็ได้ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล ต่างก็สร้างพระเครื่องของตนขึ้น และบรรจุไว้ในกรุของแต่ละพระอาราม แห่งจตุรพุทธปราการเพื่อสืบอายุพระศาสนาและ เพิ่มเกณฑ์ชะตาพระนคร จตุรพุทธปราการนี้ในปัจจุบันชาวบ้านนิยมกันเป็นสามัญว่า วัดสี่มุมเมือง และบรรดาพระเครื่องสกุลลำพูนของฤาษีต่างก็มีกำเนิดขึ้น ณ กรุของอารามทั้งสี่นี้ ดังคัมภีร์จามเทวีวงศ์กล่าวความไว้ว่า


"..เอวํ สา จินฺตยิตฺวาน ปาโต วุฏฐาย เสยฺยนา สิสนฺหาตา สุจิววตฺถาสพฺพาภรณภูสิตา ปาตราสํ กริตฺวาน สีวิกายํ นิสีทิย มหนฺเตหิ ปริวาเรหิกตฺวาน ปุรํ ปทกฺขิณํ ปาจีนทิสโต ตสฺส กตฺวารณฺญิกรมฺมกํ วิหารํ การยิตฺวา สา พุทฺธรูปณจการยิ ฯลฯ ตโต จ อาพทฺธารามํ ตสฺส อุตฺตรทิสโต เอกํ วิหารํ กตฺวาน ลงฺการามสฺสทาสิ สาตโต มหาวนารามํ ตสฺส ปจฺฉิมทิสโต วิหารํ พุทธรูปญฺจ กาเตฺวา กุฏิกวรํ ตตฺถ สงฺเฆ วสาเปสิ อนฺนปาเนน ตปฺปยิ ตโต มหารตฺตารามํ ทกฺขิณทิสโต วิหารํพุทธรูปญฺจ กาเรตฺวา อติโสภนํตตฺถ สงฺเฆ วสาเปสิ อนฺนปาเนน ภรติ มหาวิหารา ปณฺเจเต จามเทวี สยํ กเต ฯ…



"++ครั้นพระนางได้ดำริอย่างนี้แล้ว ต่อเวลาเช้าก็ลุกจากที่ไสยาสน์ ชำระศิรเกล้า แล้วทรงวัตถา สะอาดประดับอาภรณ์ทั้งปวง เสด็จทรงวอไปทำประทักษิณพระบุรีด้วยตบริวาร แล้วพระนางนั้น

++๑. ได้ให้สร้าง อรัญญิกรัมการาม (ได้แก่วัดดอกแก้ว) ในด้านปาจินทิศแห่งบุรีนั้น สร้างวิหารสร้างพระพุทธรูปด้วย แล้วถวายให้เป็นที่อยู่สงฆ์มีพระเถระเป็นประธาน

๒. ถัดนั้นไป ให้สร้าง อาพัทธาราม (ได้แก่วัดพระคง) ในด้านอุตรทิศแห่งพระบุรี ถวายให้สงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศ

๓. ถัดไปนั้น ได้สร้าง มหาวนาราม (ได้แก่วัดมหาวัน) ในด้านปัจฉิมแห่งนั้น สร้างพระวิหารด้วยสร้างพระพุทธรูปด้วย กุฏิอันบวรด้วย สำหรับพระสงฆ์จำพรรษาในอารามนั้น แล้วเลี้ยงดูด้วยน้ำข้าว

๔. ถัดนั้นไป ให้สร้าง มหารัตตาราม (ได้แก่วัดประตูลี้) ในด้านทักษิณทิศแห่งบุรีนั้น สร้างพระวิหารด้วยพระพุทธรูปด้วย งดงามสุดจะเปรียบปาน ให้พระสงฆ์จำพรรษาในอารามนั้น แล้วเลี้ยงดูด้วยข้าวน้ำ

วัดมหาวัน (วัดมหาวนาราม) ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันตก ห่างจากประตูมหาวัน ซึ่งเป็นทวารพระนครเบื้องตะวันตก ประมาณ ๕๐ เมตร คำว่ามหาวนาราม เป็นคำสนธิของคำว่า มหาวัน กับ อาราม นั่นเอง แสดงว่าพระอารามนี้ยังคงมีนามเช่นเดิมมาตั้งแต่แรกสถาปนา เมื่อ ๑,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว อาร์ เลอเมย์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวไว้ว่า “ในจามเทวีวงศ์กล่าวว่า พระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาพระอารามทั้ง ๕ ขึ้นในลำพูน (รวมถึงจตุรพุทธปราการและสุสานหลวง) และแห่งหนึ่งในพระอารามทั้งนี้ได้แก่ มหาวัน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร วัดนี้ในปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้กับประตูด้านตะวันตก และยังคงมีนามเช่นเดิมอยู่แม้ในทุกวันนี้ ยังได้พบศิลาจารึกภาษามอญหลักหนึ่งที่วัดนี้ด้วย




-ศิลาจารึกที่ อาร์ เลอ เมย์ กล่าวถึงนี้คือหลักที่ ๑๗๐ (ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๑ ของศาสตราจารย์เซเดส์) ซึ่งได้รับการรักษาไว้ ในพิพิธภัณฑสถาน สาขาจังหวัดลำพูน รวมอยู่กับหลักต่างๆ ที่พบ ณ ที่อื่นๆ ในลำพูน สำหรับคำอ่าน และคำแปลภาษาฝรั่งเศสนั้น ท่านศาสตราจารย์เซเดส์ และอาร์ ฮอลลิเดย์ ได้ทำไว้ใน B.E.F.E.C. ฉบับที่ ๑๐ และ ๒๕ (คือฉบับเดียวกับที่กล่าวถึงศิลาจารึกของวัดดอกแก้ว และอื่นๆ ในลำพูน) สภาพของหลักที่ ๑๗๐ นี้ชำรุด อักษรลบเลือนมาก เนื้อความที่รวบรวมได้มีความกระท่อนกระแท่นมาก แต่ทราบได้ว่าเป็นจารึกของพระเจ้าสรรพสิทธิ์ บอกเรื่องราวการที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระอารามแห่งนี้เป็นอันมาก




กล่าวถึงโลหะต่างๆ ที่ใช้สร้างพระพุทธรูปเงินที่ถวายบำรุงพระอาราม

-พระเจดีย์องค์หนึ่งมีนามว่า พระเจดีย์ราชะ พระพุทธรูป ๒ องค์ ทาสที่ให้ไว้ปฏิบัติบำรุงพระอาราม อุโมงค์ และดินที่ปลูกแล้ว แม้ข้อความที่เก็บได้จะกระท่อนกระแท่น แต่หากเทียบเคียงกับตำนานมูลศาสนาอันทรงคุณค่ายิ่ง จะพบเรื่องราวตามตำนานกล่าวว่า

 ….ถัดนั้นยังมีพระยาตนหนึ่งชื่อสรรพสิทธิ์เกิดมาได้ ๕ ขวบ เป็นพระยาแทนพ่อ เมื่อเป็นพระยาใหญ่ได้ ๗ ปี ก็ปลงสมบัติไว้ให้กับแม่ แล้วออกบวชเป็นสามเณร เมื่อใหญ่ได้ ๑๐ ปี ให้สร้างมหาวันกับทั้งเจดีย์ เมื่อเสร็จแล้วก็ฉลอง และถวายทานเป็นอันมาก แล้วสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งไว้ในมหาวันนั้น เมื่อท่านมีอายุ ๑๗ ปีจึงศึกออกมาเป็นคน ก็ได้ราชาภิเษกชื่อว่าพระยาสรรพสิทธิ์นั้นแล แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสรรพสิทธิ์บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมหาวัน ทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาวัน และพระเจดีย์ พระเจดีย์ที่ทรงปฏิสังขรณ์นี้คงจะเป็นพระเจดีย์ใหญ่ ซึ่งพระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาขึ้นนั่นเอง เมื่อผสมผสานระหว่างข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑๗๐ และตำนานมูลศาสนาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีการกล่าวถึงพระเจดีย์กรุพระรอด และคำว่าอุโมงค์ คือ กรุภายในเจดีย์ซึ่งเป็นที่บรรจุพระรอดนั่นเอง 




ตำนานมูลศาสนา ได้กล่าวเรื่องราวสำคัญของวัดมหาวันไว้อีกตอนหนึ่ง ในสมัยพระยาคำฟูว่า 

“ลูกท่านชื่อพระยาคำฟู ออกไปรบเอาเมืองตาก แพร่ ได้เข้ามาถวายแด่พ่อตนมากนัก ตั้งแต่นั้นไปพระยาคำฟูก็ต้องอยู่ในทศพิธราชธรรม แล้วไว้คนสำหรับให้กวาดลานมหาเจดีย์เจ้าด้านละคน ไว้กวาดลานพระพุทธรูปผู้หนึ่ง ไว้กวาดลานมหาโพธิ์ผู้หนึ่งในวัดมหาวันนั้น ถัดนั้นก็ได้ถวายกัปปิยการกเจ้าวัดละคน

-คำว่า มหาเจดีย์เจ้า ในที่นี้คือ พระเจดีย์โบราณอันเป็นกรุพระรอด ซึ่งพระนางจามเทวีเจ้าได้สถาปนาไว้พร้อมกับพระอาราม ซึ่งในจารึกหลักที่ ๑๗๐ บอกไว้ว่ามีพระพุทธรูป (กยาค) ๒ องค์-ในพระวิหารวัดมหาวัน มีพระพุทธรูปหินสลักลักษณะทำนองเดียวกับพระรอด หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอก แต่ถูกพอกปูนเสียจนไม่เห็นศิลปะเดิม ส่วนคำว่า พระมหาโพธิ์ นั้น น่าจะหมายถึง พระมหาโพธิ์ที่ปลูกขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี เพราะในจารึกมีคำว่าทาสคนหนึ่ง และ ดินที่ปลูกแล้ว เป็นความกระท่อนกระแท่นที่เกี่ยวกับพระศรีมหาโพธิ์ และทาสที่ปฏิบัติบำรุงพระศรีมหาโพธิ์

 ทั้งในปัจจุบันนี้ยังมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เบื้องหน้าวัดมหาวัน ตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด อาจจะกล่าวได้ว่า ต้นนี้สืบเชื้อสายมโพธิ์าจากพระศรีมหาโพธิ์ ของพระนางจามเทวีที่ทรงปลูกไว้ ดังที่ในตำนาน และศิลาจารึกกล่าวถึง วัดมหาวันนี้ เป็นพระอารามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกภูมิภาคของเมืองไทย ทั้งนี้มิใช่เรื่องอื่นใด นอกจากเพียงประการเดียวคือ เป็นแหล่งกำเนิดของพระรอด พระเครื่องชั้นยอดของบ้านเมืองเรา

++คำจารึกใต้ฐานพระรูปฤาษีในซุ้มทั้งสี่ของเจดีย์ฤาษี วัดพระคง ได้กล่าวข้อความไว้ดังต่อไปนี้

ด้านเหนือคือ สุเทวฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศเหนือ-ด้านใต้คือ สุกกทันตาฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศใต้-ด้านตะวันออกคือ สุพรหมฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศตะวันออก-ด้านตะวันตกคือ สุมณนารทะฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศตะวันตก“แสดงว่าพระฤาษีทั้งสี่ได้พร้อมใจกันสร้าง พระศักรพุทธปฏิมา สกุลลำพูนบรรจุไว้ในพระสถูปหรือกรุของจตุรพุทธปราการ ซึ้งพระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาขึ้น เป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลพระนางเจ้า และข้อสำคัญก็คือ เพื่อเพิ่มเกณฑ์ชะตาพระนคร และจตุรพุทธปราการให้เรี่ยวแรงแข็งขอบยิ่งขึ้น เป็นอเนกประการ

-พระสุเทวฤาษี ผู้สร้างพระคงเป็นผู้มาจากเบื้องทิศเหนือแห่งพระนคร คือมาจากอุฉุบรรพต (ดอยอ้อย) หรือดอยสุเทพ ริมฝั่งน้ำโรหิณีนที (ลำน้ำแม่ขาน) จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระศักรพุทธปฏิมาดังกล่าว บรรจุไว้ในสถูปแห่งอาพัทธาราม (วัดพระคง) เพื่อเป็นสิริสวัสดิรักษาแห่งทวารพระนครฝ่ายทิศเหนือ คือ ประตูช้างสี-พระสุกกทันตฤาษี ผู้สร้างพระเลี่ยงและพระฦา ฯลฯ เป็นผู้มาจาริกมาจากเบื้องทิศใต้ของพระนครหริภุญไชย คือมาจากดอยธัมมิก (เขาสมอคอน) แห่งระวะปุระ(ละโว้) จึงเป็นพระอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทพระเครื่องสกุลลำพูนดังกล่าวไว้ ณ มหารัตตาราม (วัดประตูลี้) เพื่อเป็นอาถรรพณ์พุทธวัตถุอารักขา ทวารพระนครฝ่ายทางเบื้องใต้ คือ

 ประตูลี้-พระสุพรหมฤาษี ผู้ประดิษฐาน พระบาง พระเปิม พระสาม พระแปด พระสิบสอง และพระเปื๋อย ฯลฯ ผู้มาจาริกจากเบื้องตะวันออกของพระมหานคร คือจากสุภบรรพต(ดอยงาม) ริมฝั่งน้ำวังกะนที(แม่น้ำวัง) เมืองนคร (ลำปางหลวง) จึงเป็นพระอาจารย์ผู้เนรมิตพระศักรพุทธปฏิมาดังกล่าวไว้

 ณ กรุของอรัญญิกรัมมการาม (วัดดอกแก้ว) ปกป้องคุ้มครองทวารพระนครฝ่ายตะวันออก คือ ประตูท่าขุนนาง นั่นเทียว-พระสุมณนารทะฤาษี ผู้สร้างพระรอด เป็นพระอาจารย์ผู้มาจากฝ่ายทิศตะวันตกของพระนคร คือจากชุหบรรพต(ดอยอินทนนท์) สานุมหาพน(มหาวัน) ป่าใหญ่เบื้องตะวันตกของหริภุญไชย จึงเป็นพระฤาษีผู้ประกอบปฏิมากรรมแห่งพระรอด บรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์(เจดีย์หลวงมหาวัน)แห่งมหาวนาราม (วัดมหาวัน) เพื่อให้เป็นพลังอิทธิวัตถุอภิบาลทวารพระนครฝ่ายตะวันตก อันได้แก่ ประตูมหาวัน นั้น-พระคง มีความหมายและคุณวิเศษในด้านความพัฒนาสถาพร ความมั่นคงแข็งแรง และความคงกระพันชาตรี คำว่า คง เป็นคำที่ถอดความหมายจากนามเดิมว่า อาพัทธ อันมีความหมายดังกล่าวส่วนนามพระสุเทวฤาษีผู้สร้างนั้น มีความหมายว่าฤาษีผู้เป็นเทพ หรือเทวะผู้ประเสริฐ อนึ่งเทวะนั้นหมายถึง ผู้เป็นอมร หรือ อมตะ กล่าวคือ หมายถึงผู้ชีวิตอันคงกระพัน ไม่รู้จักตาย-พระเลี่ยง แม้จะมิได้มีความหมายของนามสืบเนื่องมาจากนามของพระสุกกทันต ฤาษีผู้สร้าง แต่มีความหมายตามนามของพระอาราม อันเป็นแหล่งกำเนิด และทวารด้านที่พระอารามประจำอยู่ 

กล่าวคือรัตตาราม(วัดประตูลี้) หมายถึงความหลีกลี้หนีเลี่ยงจากข้าศึกศัตรู เช่นเดียวกับนามของพระเครื่อง ชนิดนี้ที่มีว่า พระเลี่ยง ฉะนั้น-พระฦา คำว่า ฦา นี้อาจมาจาก ฤา หรือฤาษี หรือมิฉะนั้นอาจมาจากคำว่า นาไลย์ อันเป็นนามของพระฤาษีสำคัญในไสยศาสตร์คู่กับพระฤาษีนารอท (ผู้สร้างพระรอด) กล่าวคือ พระสุกกทันตกฤาษี แปลว่า ฤาษีฟันขาว น่าจะเป็นนามฉายามากกว่าที่จะเป็นนามจริง เช่นเดียวกับคำว่า พุทธชฎิลฤาษี อันเป็นนามฉายาของพระฤาษีนารอด ซึ่งมีลักษณะนามบอกให้ทราบว่า เป็นฤาษี ผู้ขมวดมวยผมเป็นกระมุ่ม และคำว่า พุทธ นั้นบอกให้ทราบว่า พระฤาษีตนนี้มีนามเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง คือ พระนารทพุทธเจ้า มาเป็นพระนารทะ ดังนี้เป็นต้น-พระเปิม คำว่า เปิม เข้าใจเพี้ยนมาจากคำว่า พรหม ซึ่งออกเสียงให้ถูกตามเลขจะเป็น พะระหะมะ กล้ำกันเร็วๆ เสียงจะกลายเป็น เพริม หรือ พรัม และเพี้ยนต่อไปเป็น เพิม และ เปิม ในที่สุด คำว่า พรหม ก็คือนามของ พระพรหมฤาษี ผู้สร้างพระเครื่องชนิดนี้นั่นเอง-พระบาง คำว่า บาง อาจจะย่อมาจากคำว่าอาลัมพางค์ หรือลำปาง อันเป็นถิ่นพำนักของพระ สุพรหมฤาษี ผู้สร้างพระเครื่องชนิดนี้นานๆเข้าคำว่า อาลัมพางค์ ก็สั้นๆเข้ากลายเป็นบางไปในที่สุด-พระรอด คำว่า รอด น่าจะเพี้ยนมาจาก รอท หรือ นารทะ อันเป็นนามของพระฤาษีนารอท หรือ พระนารทะฤาษี อย่างแน่นอนที่สุด ดังได้กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าจะสะกด หรือเขียนอย่างไร ก็จมีความหมายว่าแคล้วคลาดและปลอดภัย 

++กำหนดอายุการสร้าง++-ดังได้กล่าวแล้วว่า 
พระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาพระอารามทั้งสี่ คือ จตุรพุทธปราการ (วัดสี่มุมเมือง) ในปี พ.ศ. ๑๒๒๓ เมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ ๕๓ ชันษา และพระราชโอรสทั้งสองคือ เจ้าอนันตยศและเจ้ามหัตยศมีพระชนมายุ ๑๘ ชันษา และพระคณาจารย์อันได้แก่พระฤาษีทั้งสี่ ก็ประชุมพิธีสร้างพระศักรพุทธปฏิมาสกุลลำพูนขึ้น บรรจุไว้ในแต่ละแห่งของจตุรพุทธปราการเพราะฉะนั้น พระรอดและพระเครื่องสกุลลำพูน จึงได้รับการสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๒๒๓ นั่นเอง มีอายุการสร้างปัจจุบันนี้ ๒๕๔๘ ได้ ๑,๓๒๕ ปี นับว่าเป็นพระเครื่องที่เก่าแก่ หรือมีอาวุโสสูงที่สุดในบรรดาพระเครื่องทั้งหลาย++วัดมหาวัน (มหาวนาราม) ได้มีการขุดหาพระรอดกันหลายครั้งหลายหน จนประมาณครั้งมิได้เท่าที่สืบทราบได้มาดังต่อไปนี้

++-การพบกรุพระรอดในสมัยเจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๓๕- ๒๔๔๕ พระเจดีย์มหาวันชำรุดทรุดโทรมและพังทลายลงมาเป็นส่วนมากดังนั้น เจ้าเหมพินธุไพจิตรจึงดำริให้มีการปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ โดยการสร้างสวมครอบองค์เดิมลงไป และเศษที่ปรักหักพังที่กองทับถมกันอยู่นั้น ได้จัดการให้โกยเอาไปถมหนองน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างหอสมุดของวัด ได้พบพระรอดเป็นจำนวนมากมายในกรุเจดีย์มหาวันนั้น พระรอดส่วนหนึ่งได้รับการบรรจุกรุกลับคืนเข้าไปในพระเจดีย์ตามเดิม อีกส่วนหนึ่งมีผู้นำไปสักการบูชา และส่วนสุดท้ายนั้นปะปนกับซากกรุ และเศษดินทรายจมอยู่ในหนองน้ำดังกล่าว

-การพบพระรอดในสมัยเจ้าหลวงอินทยงยศ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ครั้งนั้น เจ้าหลวงอินทยงยศได้พิจารณาเห็นว่า มีต้นโพธิ์ขึ้นแทรกตรงบริเวณฐานพระเจดีย์มหาวัน และรากชอนลึกลงไปภายในองพระเจดีย์มหาวัน ทำให้มีรอยร้าว ชำรุดหลายแห่ง จึงใช้ช่างรื้อฐานรอบนอกพระเจดีย์ออกเสียและปฏิสังขรณ์ใหม่ การกระทำครั้งนี้ได้พบพระรอด ซึ่งเจ้าเหมพินธุไพจิตรรวบรวมบรรจุไว้ในคราวบูรณะครั้งใหญ่นั้น เป็นจำนวน ๑ กระซ้าบาตร (ตะกร้าบรรจุข้าวตักบาตร) ได้นำมาแจกจ่ายบรรดาญาติวงศ์ (เจ้าหลวงจักคำ ขจรศักดิ์ ผู้เป็นบุตร ในสมัยนั้นยังเป็นหนุ่ม ก็ไดรับพระรอดจากพ่อไว้เป็นจำนวนมาก และเป็นมรดกตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ และทั้งได้จัดพิธีสร้างพระรอดรุ่นใหม่ขึ้นบรรจุไว้แทน ส่วนฐานพระเจดีย์ที่ปฏิสังขรณ์ใหม่นั้น ก็ยังให้ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม-การขุดหาพระรอดในฤดูแล้ง นับแต่สมัยปฏิสังขรณ์มหาวันเจดีย์เป็นต้นมา นับวันยิ่งปรากฏมีผู้ศรัทธาเลื่อมใส ในคุณวิเศษของพระรอดอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะคุณวิเศษของพระรอด เป็นมหัศจรรย์อย่างสูงแก่ผู้ที่มีไว้สักการบูชา จึงมีผู้พากันขุดหาพระรอดกันภายในบริเวณอุปาจารของวัด ตรงบริเวณที่เคยเป็นแอ่งน้ำ ได้พระรอดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ต่อไปก็ขยายบริเวณการขุดออกไปอย่างกว้างขวางทั่วอุปาจารของวัด และได้กระทำติดต่อกันมานานปี จนกลายเป็นประเพณีกลายๆ ของชาวบ้านลำพูน คือในฤดูแล้งภายหลังการเก็บเกี่ยวแล้ว คือระหว่างเดือน ๔ ถึงเดือน ๖ ทุกปี จะมีชาวบ้านมาขุดหาพระรอดกันในวัดมหาวัน จนพื้นที่ของวัดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทางวัดจึงห้ามการขุดกันอีกต่อไป

-การขุดพระรอดในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เนื่องจากมีการปฏิสังขรณ์กุฏิเจ้าอาวาสวัดมหาวัน ในการขุดดินเพื่อลงรากฐานการก่อสร้างและใต้ถุนกุฏิ ได้พบพระรอดเป็นจำนวนประมาณ ๒๐๐ องค์เศษ ทุกองค์จัดว่าเป็นพระรอดที่เนื้องามทั้งสิ้น มีวรรณะผุดผ่องงดงามยิ่งนัก และมีหลายพิมพ์ทรงแทบจะไม่ซ้ำกันเลย ได้เริ่มขุดในมกราคม สิ้นสุดในสิงหาคม นอกจากพระรอดแล้ว ยังขุดได้พระเครื่องสกุลลำพูนอีกหลายชนิด เช่น พระคง พระบาง พระเลี่ยง พระสาม พระสิบ พระสิบสอง พระงบน้ำอ้อย พระกล้วย พระกวาง และพระแผ่นทอง เป็นต้น-การขุดพบพระรอดในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ทางวัดมหาวันได้เริ่มการรื้อพระอุโบสถเพื่อปฏิสังขรณ์ ได้พบพระรอดประมาณ ๒๐๐ องค์เศษ ภายใต้พื้นพระอุโบสถนั้น พระรอดจำนวนหนึ่งได้มีผู้นำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ ในราคาสูงมาก และส่วนมากเป็นพระชำรุดและเนื้อไม่จัด ยิ่งกว่านั้น บางองค์ที่พระพักตร์ชัดเจน จะมีลักษณะพระเนตร พระนาสิก พระโอษฐ์โปนเด่น หัตถ์มี ๖ นิ้ว

++พระรอดมีพิมพ์นิยมในวงการพระเครื่อง ๕ พิมพ์ด้วยกัน คือ
++๑. พิมพ์ใหญ่๒. พิมพ์กลาง๓. พิมพ์เล็ก๔. พิมพ์ตื้น๕. พิมพ์ต้อ-พระรอดได้ขุดพบที่วัดมหาวัน พุทธศิลปะในยุคกลางของสมัยหริภุญไชย (ลำพูน) อาณาจักรหริภุญไชยสร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เป็นอาณาจักรของกลุ่มชนมอญโบราณทางภาคเหนือของประเทศไทย รับนับถือพระพุทธศาสนาหินยานใช้ภาษาบาลีจดจำคำสอนทางศาสนา ได้มีการกำหนดอายุสมัยและศิลปะพระรอดว่า สร้างในสมัยกษัตริย์จามเทวี เป็นยุคต้นของสมัยหริภุญไชย มีศิลปะสมัยทวารวดี ในทางพุทธศิปะแล้ว พระรอดน่าจะมีอายุ อยู่ในช่วงหลังสมัยทวารวดี รูปแบบของพระรอดคือประทับพระบาทสมาธิเพชร (ท่านั่งขัดเพชร)ในสมัยทวารวดีสร้างพระพุทธรูปนั่งขัดหลวมและหงายฝ่าพระบาทกางออก และไม่ปรากฏพระพุทธรูปนั่งขัดเพชรในศิลปะทวารวดี พระพุทธรูปนั่งขัดเพชร เป็นแบบอย่างเฉพาะของพระพุทธรูปอินเดียฝ่ายเหนือ (มหายาน) พระพุทธรูป และพระเครื่องในลำพูน ได้ปรากฏศิลปะสมัยต่างๆ รวมอยู่หลายสมัย คือ สมัยทวารวดี ลพบุรี แบบหริภุญไชย พุกาม อู่ทองและสมัยล้านนา



👉👉👉 ที่พัก ในเมือง ลำพูน


 Menista


วัดกู่ละมัก

วัดกู่ละมัก

อาณาจักรหริภุญชัย นับเป็นอาณาจักรแรกของดินแดนภาคเหนือที่เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านศิลปกรรม ศาสนาและการเมืองการปกครองเมื่อราวปี พ.ศ.1239 ก่อนที่จะล่มสลายและกลายเป็นอาณาจักรล้านนาเป็นที่ทราบกันดีว่าในตำนานของการสร้างเมืองหริภุญไชยนั้นสร้างขึ้นโดยพระฤาษีสององค์ นามว่า สุเทวฤาษีจากดอยสุเทพและสุกกทันตฤาษีจากเขาสมอคอนเมืองละโว้ หลังจากที่ได้สร้างอาณาจักรหริภุญชัยเสร็จแล้ว จึงได้อัญเชิญพระนางจามเทวี พระธิดาของพระเจ้าละโว้ให้ขึ้นมาครองเมือง โดยพระนางจามเทวีทรงเสด็จลงเรือขึ้นมาตามแม่น้ำปิงใช้เวลานานกว่า 7 เดือน เมื่อกระบวนเรือได้เทียบท่า เจียงตอง หรือ เชียงทอง (ปัจจุบันคาดว่าเป็นอำเภอจอมทอง) จึงได้หยุดพักกระบวน ระหว่างนั้นมีชาวบ้านชายหญิงพากันมาดูเป็นอันมาก ซึ่งจากตำนานจามเทวีวงศ์ได้กล่าวถึงตอนนี้ว่า

 “เมื่อมีคนมามุงดูเป็นจำนวนมากพระนางจามเทวีจึงให้สาวใช้ถามคนเหล่านั้นว่า “ดูกรพ่อแม่ทั้งหลาย แต่นี้ถึงเมืองหริภุญชัยยังประมาณมากน้อยดังหรือจัดฮอดจา” เมื่อได้ยินเช่นนั้นชาวบ้านจึงตอบว่า “ข้าแต่มหาราชเทวีเจ้า แต่นี้ถึงเมืองหริภุญชัยนั้น ดังข้าทั้งหลายได้ยินมาว่าหนึ่งโยชน์แลนา”

เมื่อได้ยินดังนั้นพระนางจามเทวี จึงมีรับสั่งตรัสปรึกษาแก่หมู่อำมาตย์ราชครูทั้งหลายว่า เราควรจะยับยั้งตั้งเวียงพักอยู่ ณ ที่นี้ก่อน ยังมิควรรีบร้อนเข้าไปในยามนี้ อำมาตย์ราชครูทั้งหลายก็เห็นชอบ พระนางจามเทวีจึงปรึกษาว่าเราควรจะตั้งเวียงนั้น ณ ตรงจุดใดดีเหล่าอำมาตย์ราชครูโหราจารย์ทั้งหลายจึงทูลถวายความเห็นว่า ควรจะเสี่ยงธนูตามเคยมาแต่ก่อน จากนั้นพระนางจามเทวีจึงได้สั่งนายฉมังธนูว่า

 “เราจักตั้งบ้านอยู่ทิศหนเหนือก้อนหินนี้ ท่านจงยิงธนูเสี่ยงมหามงคลสถานไปให้แก่เราเถิด” จากนั้นนายฉมังธนูจึงได้ตั้งพลีกรรมธนูแล้วก็ขึ้นสายพาดปืนธนู บ่ายหน้าเฉพาะทิศอุดรแล้วก็ลั่นลูกธนูออกไปแล้วมาตกตรงที่ตั้งเจดีย์ในวัดกู่ละมัก ลูกธนูที่เสี่ยงทายได้ปักตั้งอยู่เป็นอันดี ก็ทรงทราบว่าเป็นชัยภูมิอุดมสมควรยิ่งนัก พระนางจามเทวีจึงให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาถามพระมหาเถระว่า ลูกธนูตกลง ณ ที่ใดเราควรจะทำประการใดดีก่อน พระมหาเถระจึงถวายตอบว่า มหาราชเทวีเจ้านำพระพุทธศาสนามาแต่กรุงละโว้ควรจะหยั่งรากพระศาสนาลง ณ ผืนแผ่นดินหริภุญไชยก่อนซึ่งพระนางฯ ก็เห็นชอบด้วย จึงทรงจัดการให้มีการสร้างพระอารามขึ้น ทรงให้ก่อมหาเจดีย์ ณ ตรงลูกธนูปักแล้วบรรจุพระบรมธาตุและสร้างพระอุโบสถ อันถือเป็นวัดแรกสุดและเก่าแก่ที่สุดกว่าวัดใด ๆ ที่เจ้าแม่จามเทวีทรงสร้างไว้ในเมืองหริภุญชัยโดยไม่ปรากฏชื่อดั่งเดิมมาก่อน
ต่อมาวัดนี้ถูกทิ้งไว้ให้รกร้าง เมื่อมีพระมหาเถระจากเมืองอื่นเดินทางมาก็ได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “รมณียาราม” แต่จากคำบอกเล่าของชาวบ้านสมัยก่อนจะเรียกว่า

 “วัดกู่ละมัก” ซึ่งสันนิษฐานว่าคำว่า “ละมัก” อาจแผลงมาจากคำว่า “ลัวะ-ละว้า” เพราะพบหมู่บ้านของชาวลัวะถัดจากวัดนี้ข้ามแม่น้ำกวงไปทางทิศตะวันออกจำนวน 2-3 หลัง

เจดีย์กู่ละมักที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นองค์ใหม่ที่ ครูบาศรีวิชัยได้มาบูรณะสร้างขึ้นครอบองค์เดิมไว้ เนื่องจากเจดีย์องค์เดิมนั้นได้ชำรุดทรุดโทรมด้วยกาลเวลาที่ผ่านมานับพันปี นอกจากนี้ครูบาศรีวิชัยยังได้สร้างพระวิหารและธรรมาสที่ใช้แสดงพระธรรมเทศนาซึ่งเป็นสิ่งทรงคุณค่าวิจิตรตระการตาสวยงามมาก ส่วนเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้เจดีย์รูปแบบผสม ส่วนล่างเป็นทรงมณฑปหรือทรงปราสาทแบบล้านนา ประกอบด้วยชุดฐานเขียงต่อด้วยฐานบัว ถัดขึ้นไปเป็นองค์เรือนธาตุ ยกเก็จสองชั้นทั้งสี่ด้าน เจาะเป็นจระนัมสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ลวดลายที่ซุ้มจระนัมน่าจะทำขึ้นในคราวที่ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะ ส่วนบนสุดเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา ประกอบด้วยฐานแปดเหลี่ยมล้อมองค์เรือนธาตุโดยมีลูกแก้วอกไก่รัดที่ส่วนบน ถัดขึ้นมาเป็นชุดฐานบัวกลมสามชั้น ต่อด้วยองค์ระฆัง บังลังก์ ปล้องไฉน ปลียอดและประดับด้วยฉัตรอีกชั้นหนึ่ง

ปัจจุบันกู่ละมัก ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากรแล้ว นอกจากนี้บริเวณด้านหลังของกู่ มีร่องรอยของฐานอุโบสถที่สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับเจดีย์ด้วย โดยยังเห็นเป็นรอยของฐานทำด้วยศิลาแลง บริเวณรอบฐานอุโบสถยังปรากฏพัทธสีมาเป็นหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากดิน ชาวบ้านบอกว่าเมื่อหลายปีก่อนได้ทำการขุดรอบหิน ลึกประมาณ 3 เมตรยังไม่ถึงพื้นของพัทธสีมาเลย หลังจากนั้นพระธิติพรรณ ญาณวีโร เจ้าอาวาสวัดจึงได้ทำการก่อสร้างรั้วขึ้นรอบเขตอุโบสถเพื่อไม่ให้คนเข้าไป

วัดรมณียราม หรือ วัดกู่ละมัก แม้จะเป็นวัดแรกที่พระนางจามเทวีทรงสร้างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปวัดนี้จึงถูกละเลย แต่เมื่อเจ้าอาวาสวัดพร้อมด้วยคณะศรัทธาได้ทำการบูรณะตกแต่งและปรับพื้นที่ให้สวยงามขึ้นแล้ว วัดกู่ละมักก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับว่าจะย้อนเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ยังรุ่งเรืองไพบูลย์ให้ผู้คนหันมาสนใจดูแลอีกครั้งหนึ่ง.



วัดรมณียาราม ชื่อเดิมว่า วัดกู่ละมัก ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายลำพูน-ป่าซาง ห่างจากตัวเมืองลำพูนไปทางทิศใต้ประมาณ ๔ กิโลเมตร ในเขตพื้นที่หมู่ ๔ บ้านศรีย้อย ตำบลต้นธง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน




👍👍👍 ที่พักในลำพูน





















พระนางจามเทวี ตำนานที่๒



พระนางจามเทวีตอนกำเนิด ท่านพระฤๅษีสุเทพได้บันทึกไว้ในสุพรรณบัตร เราสุเทพฤๅษีแห่งอุจฉุตบรรพต (เขาไร่อ้อยหรือดอยสุเทพ) ณ ระมิงค์นคร ขอจารึกกำเนิดของกุมารีนามว่า “วี” มาให้มวล นิกรทั้งหลายได้รู้แจ้งดังนี้ กุมารน้อยนี้ พญาปักษีพามาจากบุรพนคร เราจึงช่วยชิงเอาไว้ ณ สุวรรณบรรพต (ดอยคำ) ใกล้อาศรมแห่งปู่ย่าผู้บรรพบุรุษ พญาปักษีได้ปล่อยกุมารีตกลงมาท่ามกลางต้นปทุมสระหลวง เราจึงได้สักการะอธิษฐาน กุมารีนี้ จึงลอยขึ้นบน “วี” 

วันนี้ก็เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ปีมะโรง พุทธศก ๑๑๗๖ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๕ วันพฤหัสบดี ปีมะโรง ตรงกับเดือน ๗ เหนือ ออก ๑๕ ค่ำ ปีสีฯ ตามเกณฑ์ดวงชะตาเจ้าแม่จามเทวีแปลกประหลาด จึงได้ให้นักพยากรณ์ลองผูกดวงดู ตามทัศนของ พระฤๅษีกล่าวว่า เกณฑ์เลขชะตาเจ็ดตัว วันกำเนิดก็ ๕ ตัว เดือนก็ ๕ ปีก็ ๕ ยังขึ้น ๑๕ ค่ำอีกด้วย กุมารนี้ประมาณชันษาได้ ๓ เดือนแล้ว ด้วยเหตุฉะนี้เราจึงกระทำพิธีมงคลนามตามกำเนิดเพื่อเป็นสิริมงคล เราได้ทราบด้วยญาณว่า “กุมารีนี้เป็นบุตรตรีของชาวบ้านหนองดู่ ในบุรพนคร (ต่อมาเปลี่ยนเป็นหริภุญชัย) เราจึงมอบให้ กากะวานรและบริวารเลี้ยงกุมารีน้อยนี้ ณ สุวรรณบรรพต และได้สอนศิลปวิทยาให้จวนจบชนมายุได้ ๑๓ ปี เป็นเวลาที่กุมารีนี้จักได้มาช่วยอุปถัมภ์กำราบ อริราชศัตรู ณ แคว้นเขมรัฐ อันกุมารีนี้ยังจักเป็นคู่เสน่หาของเจ้าชาย เขมรัฐ ซึ่งเดินหลงทางพนาเวศน์ไปยังเราเมื่อ ๔ ปีโน้น จึงได้ทำพิธีประกอบนายายนต์ให้กุมารี พร้อมทั้งกากะวานร และบริวารรวม ๓๕ ตัว เดินทางโดยลำน้ำระมิงค์ถึงกรุงละโว้ฯ-ตามตำนานกล่าวว่า พระนางจามเทวี เกิดที่บ้านหนองดู่ ไปโตดังที่ละโว้ (ลพบุรี) ได้มาครองเมืองลำพูนตามคำเชิญของพระฤๅษี จึงได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของเมืองลำพูน



 พระนางจามเทวี เป็นบุตรีของท่านเศรษฐี นามว่า อินตา มารดาชื่อว่า... เป็นชาวเม็ง (มอญ) ราษฎรบ้านหนองดู่ อำเภอซาง จังหวัดลำพูน พระนางจามเทวีเกิดเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พุทธศักราช ๑๑๗๖ ในระหว่างอายุได้ประมาณ ๓ เดือน กำลังนอนเบาะ ได้มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินเข้ามาจวบเอาพระนางจามเทวีขณะที่พ่อแม่ไปธุระ นกใหญ่บินเข้าจวบขึ้นบนท้องฟ้าพระนางจามเทวีได้ร่วงหล่นลงมายังกลางสระบัวหลวง ร่างของพระนางก็ค้างอยู่บนกองบัวเป็นที่น่าอัศจรรย์ พระฤๅษีเกิดไปพบเข้าจึงนึกในใจว่าทารกนี้มีเหตุการณ์อย่างประหลาดชะลอยจักไมใช่ทารกธรรมดาสามัญ เห็นทีจะมีบุญญาธิการสูงส่ง จึงได้สัตย์อธิษฐานว่า ผิว่าทารกหญิงคนนี้ ประกอบด้วยบุญญาธิการ จะได้เป็นใหญ่ในเบื้องหน้าแล้วไซร้ ขอให้ “วี” ของเรานี้รองรับร่างของทารกไว้ได้โดยมิต้องร่วงหล่นเถิด และก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเมื่อเราเอา “วี” (วี แปลว่า พัด) ยื่นไปช้อนร่างทารกน้อยวัย ๓ เดือน ก็สามารถอยู่บน “วี” อย่างอัศจรรย์ จึงเลยให้นามทารกนี้ว่า “หญิงวี” -ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๓ ปี พระฤๅษีได้จัดส่งพระนางไปตามลำน้ำปิงพร้อมกับมีวานร จำนวน ๓๕ ตัว ติดตามไปด้วย เมื่อพระนางไปถึงท่าฉนวนหน้าวัด เชิงท่าตลาด ลพบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นาวายนต์ก็ลอยวนไม่เคลื่อนที่ไปทางใดจนกว่าทั้งรุ่งแจ้ง ประชาพลเมืองได้เห็นต่างโจษขานกันอึงคนึง บ้างก็เข้าไปพยายามดึงนาวาเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงได้รับแจ้งแก่เสนาบดี และก็ได้รับทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ดังกล่าว

 กษัตริย์ทั้งสองแห่งกรุงละโว้ ก็ทรงตื้นตันด้วยความเวทนาในธิดายิ่งนัก เสด็จมารับเอาไปเป็นบุตรธิดาอยู่ได้ ๓ วัน ก็จัดให้มีงานฉลอง และเจิมพระขวัญพระราชธิดา แต่งตั้งให้เป็นพระเอกราชธิดา แห่งนครละโว้ และให้ปุโรหิตจารึกพระนามลงในแผ่นสุพรรณบัตรว่า“ เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยะวงศ์ บรมราชขัติยะนารี รัตนกัญญาละวะบุรี ราเมศวร ” เป็นราชทายาทแห่งนครละโว้ ในวาระดิถีอาทิตยวาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๑๙๐ เมื่อสิ้นประกระแสพระราชดำรัสก็ได้ยินเสียงถวายพระพรพระธิดากันเซ็งแซ่ “พระนางจามเทวีมีพระราชดำรัสตอบว่า ข้าฯ ขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิอันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่า ข้าฯ จะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะขอปกปักษ์พิทักษ์รักษาอาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกท่างที่จะหาความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้” เมื่อกระแสพระราชดำรัสจบลง เสียงปี่พากษ์มโหรีก็บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ชาวประชาก็ถวายพระพร ขอให้เจ้าหญิงจงทรงพระเจริญ ๆ แล้วข้าวตอกดอกไม้ของหอมก็ถูกโปรยทั่วบริเวณ พระพิรุณก็โปรยปรายความชุ่มเย็นจากฟากฟ้าเป็นละอองทั่วกรุงละโว้ เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง 




เมื่อพระนางจามเทวี อายุได้ ๒๐ ปี ในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือน ๖ พุทธศักราช ๑๑๙๖ ขาวกรุงละโว้ (ลพบุรี) ก็มีประราชพิธีสำคัญ คือ พระราชพิธีหมั้นระหว่างเจ้าชายรามราชกับเจ้าหญิงจามเทวี ในวันรับหมั้นก็มีมหรสพสมโภชน์เอิกเกริก บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายก็ส่งเครื่องบรรณาการกันอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่งอันความงามของเจ้าหญิงเลื่องลือไปทุกแคว้น จนกระทั่งเจ้าชายผู้เป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงโกสัมภี (พม่า) เกิดลุ่มหลงไม่เป็นอันกินอันนอน จนพระราชบิดาต้องแต่งเครื่องบรรณาการให้อำมาตย์เชิญพระราชสาสน์มาสู่ขอพระราชธิดาพระเจ้ากรุงละโว้ ในปี ๑๑๙๖ ขณะนั้นเจ้าหญิงทรงรับหมั้นแล้ว จึงได้ปฏิเสธการรับหมั้น ฝ่ายทางกรุงโกสัมภีหาว่าละโว้บ่ายเบี่ยงก็แค้นอยู่ในใจ++พม่าเสียใจความรักไม่สมหวัง

++-ในราวเดือนอ้าย ปลายปีพุทธศักราช ๑๑๙๖ พม่าเมืองโกสัมภีก็ยกทัพใหญ่ เพียบพร้อมด้วยพระประยูรญาติ ทางกาลิงครัฐก็รวมกำลังเป็นกษัตริย์เข้าบุกละโว้ ทางนครรามบุรี (ทัพกษัตริย์) คือ แม่ทัพล้วนแต่เป็นราชโอรส ราชนัตตา หรือเจ้าผู้ครองทั้งนั้น ทุกกองจะมีกองหน้า กองหลวง กองหลัง เต็มอัตราศึก แสนยานุภาพของ โกสัมภีและกาลิงครัฐก็พุ่งเข้าบดขยี้นครรามบุรีอย่างบ้าคลั่ง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ นครรามบุรีรีบแจ้งข่าวศึกใหญ่มายังกรุงละโว้ กษัตริย์ละโว้ทรงทราบก็ตกพระทัยนั่งอึ้งมิอาจตรัสสิ่งใดได้ ทั่วท้องพระโรงเงียบกริบ++พระนางจามเทวีอาสาออกศึกสงครามกับพม่า++-





ในการออกสงครามกับพม่าครั้งนี้ ทางฝ่ายบิดามารดาและพระนางต่างปรึกษาหารือกันอยู่เป็นเวลานานกว่าจะตกลงกันได้ ในที่สุดก็ตกลงมอบหน้าที่ให้พระนางจามเทวีเป็นแม่ทัพออกศึกสงครามกับพม่าเพราะพระฤๅษีสั่งว่า พระราชธิดานี้จะมาช่วยบำราบอริราชศัตรู และจากเหตุการณ์ที่ล่วงมาก็แสดงว่า พระราชธิดานี้มีบุญญาธิการแก่กล้านักเห็นทีศัตรูจะทำอันตรายมิได้เป็นแน่ จึงตกลงอนุญาตและถามเจ้าหญิงว่าจะเดินทัพเมื่อไร เจ้าหญิงทูลว่าจะไปวันนี้ เจ้ากรุงละโว้ก็ให้อำมาตย์ไปอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเข้ามายังพระอารามหลวงโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อพิธีเจิมเฉลิมชัยเจ้าหญิง ฝ่ายเจ้าหญิงทรงรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายเตรียมทัพ และให้พี่เลี้ยงทั้งสองจัดทัพหน้าหญิง ๕๐๐ คน ชาย ๑๐๐๐ คน กับกากะวานรและวานรที่ติดตามมาตั้งแต่ระมิงค์นครทั้ง ๓๕ ตัว ที่เกิดใหญ่ไม่เอาให้รีบจัดก่อน เมื่อทำพิธีทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พระนางตรัสว่าเพื่อปิตุภูมิเราจะขอทำหน้าที่และยอดสละชีวิตก่อนท่านทั้งหลาย และศึกครั้งนี้หนักนักเป็นศึกกษัตริย์อันมิควรจะพบกันบ่อยครั้งนัก บรรดาแม่ทัพของเขาล้วนแต่เป็นโอรสและราชนัดดาของนครต่างๆ ทั้งโกสัมภี และกาลิงครัฐ พระนางประกาศว่าถ้าผู้ใดมิเต็มใจไปราชการด้วยครั้งนี้เราจะมิเอาโทษทัณฑ์ประการใด จะปลดปล่อยทันที เมื่อรับสั่งจบบรรดาเหล่าทหารก็โห่ร้องถวายพระพรกันเซ็งแซ่ ทุกคนของปฏิญาณว่าจะขอตายเพื่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งนั้น ทันใดนั้นท้องฟ้าก็แจ่มใสเห็นศุภนิมิตรอันดี กษัตริย์กรุงละโว้ก็ทรงมอบพระแสงอาญาสิทธิ์แก่เจ้าหญิง 

ทันใดนั้นธงชัยประจำตัวแม่ทัพก็สบัดชายให้เห็นพื้นธงสีฟ้าริมขาว ส่วนกลางของธงซึ่งมีรูปมงกุฎราชกุมารีลอยอยู่เหนือดวงอาทิตย์โบก สบัดอยู่ไปมาติดตามแม่ทัพอย่างกระชั้นชิด เมื่อเดินทัพมาใกล้นครเขื่อนขัณฑ์ (กำแพงเพชร) เจ้าหญิงจึงทรงอักษรไปยังเจ้ารามฯ ว่า หญิงมาช่วยแล้วขอให้เจ้าพี่ทิ้งเมืองเสียเถิด ให้อพยพชาวเมืองลงมาก่อน แล้วเจ้าพี่รับทำหน้าที่นำทัพมาพ้นเทือกเขาขุนกาฬบรรพต ในระหว่างที่มีการสู้รบกันอยู่นั้นพลเมืองต่างก็พากันหนีออกจากเมือง เมื่อทัพโกสัมภียึดนครได้ก็กลายเป็นนครร้างเสียแล้ว เพราะราษฎรอพยพกันหมดสิ้น ต่อมาแม่ทัพทั้งสองก็ได้สู้รบกันอีก จนต่างฝ่ายมีอาหารการกินร่อยหรอลงไป เจ้าหญิงก็ทรงพระอักษรขึ้น ๑ ฉบับ ส่งให้โอรสแห่งโกสัมภีว่าอันสงครามครั้งนี้เหตุก็เกิดจากเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้าพี่กับหม่อมฉัน มิควรที่จะให้ชีวิตของทวยราษฎร์ทั้งหลายจักต้องมาล้มตายกัน จะเป็นที่ครหานินทาแก่หมู่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายเปล่าๆ ขอเชิญเจ้าพี่แต่งกายทหารมาทำการสู้รบกันตัวต่อตัวให้เป็นขวัญตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเถิด จอมทัพแห่งโกสัมภีเมื่อรับพระราชสาสน์จากเจ้าหญิงจึงได้ทรงทราบว่าสตรีที่ตนรักเป็นจอมโยธาจะต้องมาประหัตประหารกัน ก็ทรงวิตกไปหลายประการและก็แว่วว่าเจ้าหญิงทรงเป็นศิษย์พระฤๅษี คาถาอาคมก็คงจะเชี่ยวชาญ มิฉะนั้นไหนเลยจะต้องมาเป็นแม่ทัพ ต่อจากนั้นอีกสองวันทั้งสองฝ่ายก็จัดแม่ทัพออกสู้กันตัวต่อตัว ล่วงไปได้ ๖ วันในการต่อสู้ขุนศึกโกสัมภีตาย ๒ คน ละโว้ตาย ๑ คน วันที่ ๗ จอมทัพโกสัมภีจะต้องต่อสู้กันตัวต่อตัว เจ้าหญิงก็นึกถึงบิดา พระฤๅษีสุเทพ เสี่ยงสัจจะอธิษฐานในบุญกรรม และแล้ววันรุ่งขึ้นก็ย่างมาถึง วันนี้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ กลองศึกถูกรัวเร้าจังหวะ ขณะที่ทางโกสัมภีตกตลึงอยู่นี้ใยเจ้าพี่มัวยืนเหม่ออยู่ด้วยเหตุอันใด หม่อมฉันขอเชิญเจ้าพี่มาประลองฝีมือกันอย่าให้ทหารทั้งหลายต้องพลอยยากลำบากด้วยเราเลย เจ้าชายได้สติจึงเอ่ยขึ้นว่า 

การศึกครั้งนี้ใยพระนางต้องทำพระวรกายมาให้เปรอะเปื้อนโลหิตอันมิบังควรสำหรับสตรีเพศ หรือว่าละโว้นั้นสิ้นแล้วหรือซึ่งผู้ชายชาตรี เจ้าหญิงตรัสว่า อันละโว้จะสิ้นซึ่งชายชาตรีนั้นหามิได้ แต่ว่าหม่อมฉันเป็นราชธิดาแห่งเสด็จพ่อเสด็จแม่เป็นเอกธิดาภายใต้เศวตฉัตร อันสตรีก็มีใจ บุรุษก็มีใจ เผื่อว่าหม่อมฉันพลาดพลั้งเจ้าพี่ก็เอาชีวิตหม่อมฉันไปเถิด ถ้าเจ้าพี่พลาดพลั้งก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉัน เมื่อต่างฝ่ายต่างโต้คารมกันไปมานานพอสมควรก็ใกล้เที่ยงวัน เจ้าชายโกสัมภีก็ตรัสขอเชิญเจ้าหญิงพักเหนื่อยกันก่อนเถิดเพราะบ่ายอ่อนเราจึงมาต่อสู้กันใหม่ เจ้าหญิงก็ทรงเห็นด้วย-ครั้งแล้วเวลานั้นก็มาถึง ทั้งสองเจ้าก็เริ่มประดาบกันใหม่ภายใต้ร่มโพธิ์อันร่มรื่น เจ้าหญิงทรงยืนเป็นสง่า ทั้งคู่ต้องมาประหัตประหารกันด้วยหน้าที่ เมื่อปี่ชะวาครางขึ้น ทั้งคู่ก็เริ่มเข้าประหารกันอีก เมื่อดาบทั้งสี่เริ่มกระทบกันจากช้าเป็นเร็ว ต่างฝ่ายผลัดกันรับและรุกเป็นเวลานาน คนดูต่างใจหายใจคว่ำ ครั้งแล้วเจ้าชายก็เสียเชิงถูกพระแสงดาบเจ้าหญิงเฉี่ยวเข้าที่พระกรก็ตกใจชักม้าเบนห่าง กากะวานรเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าคว้าธงไชย จอมทัพโกสัมภีเข้าหักยับด้วยกำลัง ทหารทั้งปวงก็อลหม่านทั้งไพร่และนายแตกตื่นกันชุลมุน กองทัพโกสัมภีก็แตกร่นไม่เป็นขบวน ต่างชิงหนี้เอาตัวรอด ทหารละโว้ตามตีไม่ลดละจึงต้องหนีทั้งกลางวันและกลางคืน เจ้าชายแห่งโกสัมภีแค้นพระทัยเสียรู้ เสียพระทัย เสียทัพยับเยิน จะอยู่ไปใยให้ขายหน้าและสุดที่ผู้ใดจะช่วยทัน ด้วยทิฏฐิมานะแห่งขัติยะก็รงเอาพระแสงดาบเชือดเฉือนพระศอของตนเองจนสิ้นชีพตักษัย ทันใดก็มีเสียงร้องต่อๆ กันว่า เจ้าชายโกสัมภีสิ้นพระชนม์ฯ ขอให้ทหารทุกคนยอมอ่อนน้อมต่อละโว้เถิด มีเสียงบอกต่อๆ กันจนฟังให้อึงคนึงไปหมด เจ้าหญิงจึงประกาศให้ทัพปลอดอาวุธทางโกสัมภี แล้วเจ้าหญิงก็ยุติการสู้รบและให้ทั้งสองฝ่ายตรวจความเสียหาย แล้วเจ้าหญิงทรงพระบัญชาให้ทหารรีบไปเอาปรอทยังนครสุวรรณบรรพต และให้ต่อพระศอเจ้าชายโกสัมภีแล้วตรอกปรอทบรรจุพระศพเจ้าชายโกสัมภีเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ทหารนำศพกลับเมืองโกสัมภี เป็นอันว่าสงครามรักสะเทือนใจของประชาชนก็ยุติฯ 



++เสด็จสงครามเจ้าจามเทวีก็อภิเษกสมรส++-เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายสงบเรียบร้อย พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีก็ทรงดำริว่า สมควรจัดให้ราชธิดากับเจ้าชายรามทรงอภิเษกสมรส ทางเจ้ากรุงละโว้ทรงให้เขียนประกาศแจ้งไปยังหัวเมืองต่างๆ อย่าให้เมืองใดขาดได้ เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีตรงกับวันข้างขึ้นเดือน ๖ ปีขาล พุทธศักราช ๑๑๙๘ พระนางจามเทวีกับเจ้าชายรามฯ ก็ได้อภิเษกสมรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็มีพระราชพิธีมอบราชสมบัติ อัญเชิญเจ้ารามฯ ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองนครกรุงละโว้เพื่อเป็นมิ่งขวัญชาวละโว้ต่อไป 



ที่พัก ในลำพูน

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ผีฟ้าพญาแถน



พญาแถนหรือผีฟ้าหรือผีแถนนั้น ตามตำนานพงศาวดารที่ได้ค้นเจอนั้น ได้บันทึกเป็นภาษาเก่าโบราณ หรือเป็นภาษาลาวพื้นบ้านพอสรุปความได้ว่า
พญาแถน เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปบนชั้นฟ้าทางตอนเหนือและเชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม เดียนเบียนฟู ซึ่งได้เล่าว่า   กาลครั้งนั้น เมืองพญาแถนกับโลกมนุษย์นั้น ติดต่อกันได้ระหว่าง ผีและคนเที่ยวไปมาหาสู่กันเป็นปกติ




และพญาแถนได้ลงมาเที่ยวสั่งสอนว่ากล่าวผู้คนในแถบนั้น  คนที่หนึ่ง เรียกชื่อว่า ปู่ลางเชิง     คนที่สอง ชื่อว่า ขุนเด็กและขุนคาน ได้สร้างบ้านแปงเมืองอยู่ในสถานที่นั้น  ได้สอนว่า "  ในเมืองลุ่มนี้กินข้าวให้บอกให้หมาย กินแลงกินงายก็ให้บอกแก่แถน  ได้กินนขึ้นก็ให้ส่งขา  ได้กินปลาก็ให้ส่งรอยแก่แถน   แต่คนทั้งหลายไม่เชื่อฟังจึงเป็นเหตุให้ พญาแถนนั้นบันดาลให้น้ำท่วมเรือกสวนไร่นายากจนฉิบหายเสียสิ้น

ปู่ลางเชิง ขุนเด็กและขุนคาน รู้ว่า แถนโกรธ  " จึงเอาไม้ขาแรงเฮ็ดแพ เอาไม้แปงเรือนเฮ็ดพ่วง( น่าจะเป็นไม้ใผ่ผูกเป็นแพขึ้นมา พ่วง คือผูก) และเขาจึงเอาลูก
เมียเข้าอยู่ในแพนั้น แล้วปล่อยให้น้ำพัดขึ้นไปเมืองบนฟ้า  แล้วพญาแถนจึงถามเขาว่า ่"ตูใช้ให้ไปกล่าวแก่สูสองสามทีให้ยำแถนยำผีเฒ่ายำเจ้ายืนกาย สูสั่งบ่อฟังคำกูจีงเท่าสูแล้ว" หมายถึงได้สั่งสอนว่ากล่าวสองสามครั้งตามคำบอกกล่าวได้เขียนไว้ข้างต้นเลยต้องเป็นเหตุให้ น้ำท่วมเรือกสวนไร่นาผู้คนต้องลำบากจนต้องต่อแพกลับขึ้นไปหาพญาแถนอีกครั้ง จึงได้ถูกว่ามา



จากนั้นพญาแถนจึงให้ ขุนทั้งสามและครอบครัวได้อยู่ที่เป็นภูเขาหรือดอนเป็นภาษาลาวพื้นบ้าน รอจนน้ำแห้งแล้วค่อยลงมายังเมืองลุ่ม หรือเมืองต่ำนั่นเอง และจึงได้ขอกับพระยาแถนว่า  " ตูข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่อแกว่นแล่นเมืองฟ้าบ่อเป็น ตูข้อยขอไปอยู่เมืองลุ่มลิดเลียง เมืองเพียงพักย่อมพู่นเทอญ " และพญาแถนได้ส่งเขาลงมา เมืองลุ่มดั่งที่ขอ เพราะว่า  ไม่สะดวกจะอยุ่บนฟ้านั้น จึงให้ ควายเขาลู่ และลงมาอยู่ที่ นาน้อยอ้อยหนู พวกเขาจึง ทำไร่ไถนากินประมา สามปี ควายที่มาด้วยนั้นก็ตายลง และอยู่มาไม่นาน เคลือหมากน้ำเต้าก็ออกมาจากฮูดังควาย หรือจมูกของควายตัวที่ตายนั้น  เป็นลูกน้ำเต้า สามลูก โตเท่าประมาณตีนสันเขาที่ปลูกข้าวนั้น    และเมื่อลูกน้ำเต้านั่นแก่ลงก็มีคนเกิดขึ้นในลูกน้ำเต้านั้น เป็นดัง (นางอาสังโนเกิดในท้องดอกบัวเจ้าฤาษีจึงเอามาเลี้ยง) และคนที่เกิดมาในผลน้ำเต้านั้นเป็นกลุ่มหนึ่งหรือฝูงหนึ่งก็ร้องเรียกเสียงกึกก้องดังออกมาในผลน้ำเต้านั้นเอง


เวลานั้น ปู่ลางเชิงจึงเผาเหล็กสีแดงแทงเข้าไปในผลน้ำเต้านั้น และคนกลุ่มนั้นก็ได้เบียดเสียดกันออกมาทางช่องที่ปู่ลางเชิงเจาะแทงทะลุเข้าไปและก็เอาสิ่วนั้นถูไถไปมาให้รูนั้นกว้างออกเป็นช่องประตูใหญ่สามารถออกมาได้ผู้คนเหล่านั้นจึงไหลกันออกมาถึง สามวันสามคืนจึงหมด ่และผู้คนเหล่านั้นที่ไหลออกมา ได้แบ่งเป็น สองกลุ่ม ๆ ที่หนึ่งเรียกว่า ไทยลม  อีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ไทยลี  และออกทางสิ่วอีกทางนั้น แบ่งเป็น สามกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเรียกว่า ไทยเลิง  กลุ่มที่สอง เรียกว่า ไทยลอ กลุ่มสุดท่าย เรียกว่า ไทยควาง



ปู่ลางเชิงจึงได้สอนสั่งให้เขาเหล่านั้น ทำไร่ไถนา ทอผ้าซิ่น เลี้ยงชีพ แล้วก็ปลูกบ้านแปงเรือนมีลูกเมีย และได้สอนให้เขาเหล่านั้น รักพ่อแม่เลี้ยงดูตนเอง เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้ใหญ่ที่แก่ชรากว่าตน  พอพ่อแม่เขาเหล่านั้นตายไปก็ให้เคารพบูชาเหมือนดั่งมีชีวิตอยู่ สืบเป็นบรรพบุรุษ

สรุปความได้ว่า เป็นเรื่องราวที่ได้บันทึกไว้เพื่อบอกกล่าวให้ผู้คนในยุคนั้นได้ทำความดี จะปลูกข้าว ทำอาชีพ ทอผ้าหรือใช้ชีวิตในครอบครัวอย่างไร ให้ระลึกนึกถึง และบูชา พญาแถน ให้ทำคุณความดี ตอบแทนผู้มีคุณ พ่อแม่และสืบทอดต่อๆไปชั่วลูกหลานเป็นคำกล่าวของเนื้อหาบทความทั้งหมด เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็จะเกิดเภทภัย น้ำท่วมฟ้าปลากินดาวทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องประสบเคราะห์กรรม และยังมีนิทานต่อเนื่องจากการเล่าถึง พญาแถน คือ ขุนบูลม ต้นราชวงศ์กษัตริย์ซึ่งได้รับ การเชิญให้ลงมาจุติจากพญาแถน และมีเรื่องราว ต่อเนื่องอ้างอิงถึง บรมกษัตริย์แต่ละพระองค์ ในแว่นแคว้นต่างๆ ถึง ๗ แคว้น โปรดติดตาม (ตอนที่ ๒ ขุนบูลม)

อ้างอิง พญาแถน บันทึกพงศาวดาร ล้านช้าง
ถอดความโดย  ณัฆชาญ ศักดิเมฆากุล
             ken@dventure


ที่พัก เพื่อการท่องเที่ยว  เดียนเบียนฟู เวียดนาม




วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พระนางจามเทวี ตำนานที่ ๑

นางจามเทวี เป็นราชธิดาของพระยาจักกวัตติ เจ้าผู้ครองกรุงละโว้ นางเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม มีศีลาจารวัตรอันสม่ำเสมอและงดงามเป็นที่เลื่องลือไหปทัวสารทิศ ได้เษกสมรสกับอุปราชแห่งนครรามปุระ ซึ่งเป็นหัวเมืองของกรุงละโว้ จนตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน จึงอำมาตย์ราทูตจากหริภุญชั ถือสาร์นของ ฤษีวาสุเทพ กับฤษีสุกกทันต มาขอให้นางขั้นไปครองราช นางจามเทวีนี้พิจารณาตามตำนานแล้วคงจะไม่ใช่ราชธิดาอันแท้จริงของ พระเจ้ากรุงละโว้ อย่างน้อยก็คงเป็นราชธิดาบุญธรรม หรืออาจะเป็นตัวจำนำที่พระเจ้ากรุงละโว้ได้มาตั้งแต่ยังเล็กอยู่ก็ได้ เคยมีผู้พิจาณาว่า หริภุญชัยเป็นเมืองลูกหลวงของละโว้อีกทีหนึ่ง ทั้งฤษีสุกกทันตก็คงจะได้เคยรู้จักนางจามเทวีมาตั้งแต่เล็ก เพราะมีความตอนหนึ่งกล่าวว่า ในสามเทศะนี้ มีตำบลชื่อทวะกะวาม เป็นที่อยู่งของพวกเมงคะบุต สามเทศะ คือ เสียมเทศ หรือสยามประเทศ เมงคบุตร หมายความว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของพวกมอญ เขมรทีเดียว พวกเหล่านี้เคยถูกรุกรานหลายครั้งประกอบกับคำว่า ละโว้ นั้น อาจมาจากคำว่า ละว้า ก็ได้ ดังนั้นแม้กระทั่งคนในเมืองละโว้เองก็ไม่น่าจะเป็นขอมทั้งหมด เพราะถ้าละโว้มาจากละว้าก็น่าจะเป็นเมืองของพวกละว้าก่อนแล้วพวกทวาราดีที่เป็นมอญก็มาตีเอาไว้ในอำนาจของตน และที่ว่าเป็นมอญนั้น ก็ใช่ว่าจะหมดทั้งอาณาจักร์ คงจะมีพวกที่ไม่ใช่มอญ แต่พูดภาษามอญบ้างก็ได้ อีกประหนึ่ง คำว่า จามเทวี และ สามเทสะนี้ ถ้าคำว่าจามมา จากสามก็น่าจะเป็นไปได้เพราะ สามเทีวี ก็หมายหถึง นาพญาแห่งประเทศ สาม ซึ่งก็จะไได้ความชัดขึ้นอีกมาก




ส่วนเรื่องเมืองหริภุญชัยนั้น ปรากฎว่าเป็นเมืองที่ฤษีวาสุเทพ กับฤษีสุกกทันตสร้างขึ้น เมื่อสร้างขึ้นแล้วก้มีสารน์ไปขอให้นางจามเทวีขึ้นไปครอง อันนี้น่าจะพิจารณาว่า เมื่อฤษีสุกกทันเป็นมอญ  เหตุใดจึงขอเชื้อสายราชวงศ์ของพวกขอมขึ้นไปครอง อย่างไรเสียฤษีสักกทันตก็คงได้รู้จักกับนางจามเทวีมาตั้งแต่ยังเยาว์อยู่ ส่วนพระเจ้าจักกวัตติผู้ครองเมืองละโว้นั้นก็อาจเป็นมอญด้วย ถ้าหากเป็นพระชนกของนางจามเทวีจริงๆหรือถ้าพระเจ้าจักกวัตติเป็นขอม นางจามเทวีก็น่าจะเป็นราชธิดาบุญธรรม เพราะปรากฎว่าระยะน้้นพวกขอมกลับมามีอำนาจอยู่นละโว้บ้างแล้ว แต่จะเป็นกษัตริย์ก็ไม่อาจสันนิษฐานได้แน่ถ้าเพระเจ้าจักกวัตติเป็นขอม นางจามเทวีก็คงเป็นบุตรีของเจ้าเมืองมอญ บางแห่งที่ถูกปราบปรามและถุกยึดเอามาเป็นตัวจำนำ ประกอบกับฤษีสุกกทันก็คงขึ้นไปจากทางใต้ ถ้ามิฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงกลับไปอาศัยอยู่ที่ภูเขา เมืองละโว้ ดังกลาวไว้ในตำนานโยนก ซึ่งตรงกับนำนานจามเทวีวงศ์ที่ว่า ฤษีสุกกทันตะไปอาศัยอยู่ที่ยอดเขาธรรมิกบรรพต หรือ"เขาสมอคอน"ในเขตแดนละโว้นคร ส่วนฤษีวาสุเทพ ซึ่งเป็นเพื่อนกับฤษีสุกกทันตนั้นได้เนรมิตเมืองหลายครั้ง แต่ก็มีอันเป็นต้องพินาศล่มจมไปในที่สุด จึงชักชวนฤษีสุกกทันตให้ขึ้นไปช่วยกันสร้างเมืองใหม่ ตอนนี้ถ้าจะสันนิษฐานให้นอกออกไปจากตำนานก็ต้องกล่าวว่าเป็นนโยบายการขยายอาณาเขตของพวกทวาราวดีแห่งเมืองละโว้ ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นพวกออกไปสำรวจทำเลที่ตั้งเมือง อีกฝ่ายหนึ่งคอยตระเตรียมกำลังผู้คนและสรรพสิ่งของไว้แต่เมื่อเป็นตำนานก็เลยกลายเป็นฤทธิ์เดชอภินาหารไปสิ้น



ฤษีทั้ง ๒ เหาะมาพบกันกลางอากาศ แล้วร่อนลงมาปฏิสันถารกต่อกันยังพื้นดิน ที่ตรงนั้นกล่าวกันว่า คือที่ตำบลเชียงครึ่งในบัดนี้ ปรึกษากันจนเป็นที่ตกลงแล้วก็ช่วยกันเนรมิตเมืองขึ้นใหม่ โดยอาศัยฤาษีองค์หนึ่งชื่อฤาษีอนุสิษฎ์ ใช้ให้นำหัสดีสิงค์ไปคาบเอาหอยสังข์มาจากมหาสมุทร แล้วเอารูปหอยสังข์นั้นมาทำเป็นรูปผังเมือง มีปริมณฑกว้าง ๒๒๕๐ เส้น  ยาว ๑๒๗ เส้นกับ ๑๐ วา สร้างป้อมปราการ ปราสาทราชมณเฑียรพระลอุทยานพระลานหลวงสถานรัถยา คลังแก้ว สระ สะพานถ้วนทุกสิ่งแล้ว ก็มาปรึกษากันอีกว่า จะให้ใครมาครองดี ฤษีสุกกทันออกความเห็นว่า ควรจะขอเอานางจามเทวีมาครอง เรื่องจึงมาถึงตอนที่กล่าวไว้แต่เบื้องต้น

นางจามเทวีนั้น เมื่อได้ทราบแล้วจะเต็มใจแต่แรกหรือเป็นคำสั่งของพระเจัากรุงละโว้ก็ไม่ทราบได้ แต่ปรากฎว่านางจามเทวีต้องพรากจากสวามีที่เป็นอุปราชเมืองราปุระ (ในชินกาลมาลินีกลล่าวว่าเป็นพระยารามัญ เมืองสุธรรมาวดี) ซึ่งเชื่อได้แน่ว่าไม่ใช่พวกขอม สันนิษฐานได้ว่า นางจามเทวีทรงความเป็น "เมงคบุตร" น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง อย่างไรเสียก็คงตัั้งใจจะให้สวามี ซึ่งเป็นเชื้ัอสายเมงคบุตร คุมเชิงรักษาอำนาจอยู่ทางกรุงละโว้ก่อน และตต้องนับว่าเป็นการตัดสิน่ใจที่เด็ดเดี่ยวมากนางจามเทวีคงจะคร่ำครวญ อาลัยอาวรณ์กับสวามีเป็นอันมากต่อจากนั้นก็มีพิธีอภิษกยกนางจามเทีวีเป็นนางพญาแห่งหริภุญชัย (บางแห่งว่าไปจัดพิธีอภิเษกที่นครหริภุญชัย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เหพราะอพถึงหริภุญชัยได้ ๗ วัน นางก็ประสูติโอรส) การอภิเษกครั้งนีี้จะเป็นไปโดยมีนโยบายอื่นแทรกแซงด้วยหรือไม่ก็ชวนให้น่าคิด การอภิเศกดำเนินไปถึง ๗ วัน ๗ คืน จึงเตรียมการเดินทาง มีขบวนพระภิกษุสงฆ์และสิ่งสักการบูชา ชีปะขาวราชบัณฑิต ราชครู ตลอดจนช่าฝีมือ ไปด้วยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

นางต้องเสียเวลาเดินทางตั้ง ๗ เดือน ที่ตั้องเสียเวลาช้าอย่างนี้ก็คงจะเป็นเพราะนางต้องมาทางชลมารค ด้วยกำลังทรงครรภ์ ทางอื่นนั้นอาจจะลำบาก กระทบกระเทือนต่อพระหน่อในพระครรภ์ก็ได้ เมื่อลวงขึ้นมาถุึงเมืองฮอดแล้ว ก็ให้หยุดทำเลที่พัก่อน ระยะทางที่ผ่านมานี้เลยกลายเป็นชื่อตำบลไปหลายแห่ง เช่น

 ที่นางหยุดตากผ้าก็ชื่อว่า  ตำบลบ้านตากผ้า ที่ซึ่งพวกไร่พลง่วงเหงาหาวนอน ก็เรียกว่า ตำบล สามเหงา ซึ่้งเพี้ยนไปจากคำว่า "จามเหงา" นอกจากนั้น ทุกแห่งที่นางผ่าน่มานี้ได้ขึ้นเผยแพร่พระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงเมืองต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ประกอบกับไม่ได้รีบร้อนเดินทงนัก จึงกินเวลาถึง ๗ เดือน ที่เมืองฮอดนี้ก็ได้สร้างเจดีย์เอาไว้องค์หนึ่ง มีรูปทรงประหลาด 

นางได้ขึ้นที่ท่าเชียงหลง ซึ่งนับว่าสุดทางตรงนั้น แล้วให้เสี่ยงยิงธนูไปทางทิศเหนือเพื่อสร้าง " เวียงเล็ก" ไว้ คอยฤกษ์ที่จะเข้าเมืองหริภุญชัย ตรงที่ลุกธนุตกนี้เองนางได้ให้สร้างพระอารามขึ้นในตำบลโยนกว่า "วัดละโว้" ปัจจุบันเรียกว่า "วัดกู่ละมัก" ดังนั้นวัดกู่ละมักจึงมีกชื่อหนึ่งว่า "วัดรมณียาราม" นางจาเทวีได้อัญเชิญพระปฏิมากร "หินดำ"ที่เรียกว่า พระสีขีพุทธะปฏิมา จากละโว้มาด้วย แล้วประดิษฐานไว้ในวัดกู่ละมักหรือ "ละมักการาม"

เมื่อนางจามเทวีมาถึงหริภุญชัยใน พ.ศ. ๑๒๐๕ ได้ทำพิธี มรุธาภิเษกตามระเบียบวิธีการครองเมือง ดังกล่าวไว้ในเรื่องชินกาลมาลีปกรณ์ว่า 

"ได้อัญเชิญพระนางจามเทีวีนั้นนั่งบน กองทองคำแล้วอภิเษกอาศัยเหตุที่พระนางนั่งบนกองทองคำ อภิเษกนครนั้นจึงชื่อว่า หริภุญชัยสืบมาจนทุกวันนี้ (แต่คำว่า "หริ" นี้ กล่วกันว่าเป็นนามหนึ่งของพระนารายณ์พระเป็นเจ้าของมนุษย์ จึงมีผู้คิดกันว่า เมืองนี้ที่จะตั้งชื่อเอานิมิตรนามพระนารายณ์เป็นสิ่งป้องกันภัยพิบัติกระมัง) 

ต่อมาอีก ๗ วัน ก็ประสูติโอรสแฝดองค์พี่ มหันตยศ องค์น้องชื่อ อนันตยศ ครั้นชันษาได้ ๗ ปี มีพระยามีลักขะ (คำเดิมเรียกว่า   ลกขุนทรโย " มาจากคำว่า ลกขุ อินทรยะ แปลว่า เผ่ามิลักขะใหญ่ บางแห่งกล่าวว่าคือไทยใหญ่) ยกทัพมาตีเมืองหริภุญชัย ในตำนานโยนกกล่าวว่า เป็นขุนลัวะ ชื่อ วิลังคะ  (ในชินกาลมาลีปกรณ์ว่า ชื่อ ลันขุนทรีย์ ) เป็นใหญ่อยู่ในพวกลัวะแห่งขุนเขาแถบดอยสุเทพ (อุฉุจบรรพต) ขุนลัวะผู้นี้มีความพิสมัยในรูปโฉมนางามเทวีได้แต่งทูตถือบรรณาการมาแจ้งให้ทราบ นางจามเทวีก็พิโรธไล่ทูตออกไปจากเมือง     ขุนลัวะได้ทราบ ก็แค้นเคืองยกทัพมาตีเจ้าชายมหันตยศ และเจ้าชายอนันตยศขึ้นประทับคอช้างในขณะที่มีชันษาเพียง ๗ ปี คุมพลออกไปสู้รบ ขุนลัวะแพ้บารมีต้องหนีไป ภายหลังเจ้าชายทั้ ๒ องค์ก็สามารถปราบพวกลัวะได้ราบคาบ จนได้ธิดาของขุนลัวะมา ๒ คน เจ้าชายอนันตยศนั้น ได้ไปครองเมืองเขลางค์ ซึ่งฤษีสุพรหมเป็นผู้สร้างให้ ส่วนเจ้าชายมหันตยศได้ครองเมืองหริภุญชัยสืบมา
นางจามเทวีอยู่ครองเมืองหริหภุญชัยด้วยทศพิธราชธรรมมาถึง ๕๓ ปี พระชนมายุได้ ๙๒ ปี ก็สวรรคต 

ราชโอรสพี่น้องได้สร้างสถูปเจดีย์ขึ้นทางตะวันตก (ปัจฉิมทิศ) ของตัวเมืองปลงพระศพแล้วอัญเชิญอัฐิธาตุเข้าบรรจุไว้ภายใน สถูปเจดีย์ นี่คือสถูปสุวรรณจังโกฎิ์หรือกู่กุตนั่นเอง และที่สถูปเจดีย์มีแบบอย่างขอมก็อาจเป็นเพราะแบบอย่างทางศิลปกรรมของขอมเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่ไปก็ได้ ประกอบกับพวกขอมก็ได้ชื่อว่าเป็นพวกมีวิชาความรู้ อย่างไรเสียก็คงจะอาสาสมัครมาอยู่เมืองหริภุญชัยบ้าง

ปัจจุบันนี้ สถูปเจดีย์มีอยู่ ๒ องค์ คือองค์เล็กกับองค์ใหญ่และถ้าจะพิจารณากันแล้ว รูปทรงโดยแท้จริงขององค์สถูปแม่ได้แสดงลักษณะของขอมออกมาอย่างชัดเจน จะมีแต่พระพุทธรูป และซุ้มเท่านั้น การที่จะสันนิษฐานว่า องค์ไหนสร้างก่อนก็อาจจะดูได้จากแบบอย่างและวัสดุที่ใช้

 สถูปองค์ใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม ก่อด้วยแลงทั้งองค์และถือปูนภายนอก มีซุ้มพระพุทธรูปด้านละ ๓ ซุ้ม และเรียงขึ้นไป ๕ ชั้นตามชั้นทั้ง ๕ ชั้นนั้น ตรงมุมทำเป็นสถูปเล็กๆ ตั้งอยู่บนบัวซ้อน ซึ่งไม่ใช่แบบของขอมเลย จะมีอยู่บ้างก็

ตรงซุ้มประตูที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน เข้าใจว่าจะ ป็นปรางค์รำพึง ล้วนเป็นพระพุทธรูป ก่อด้วยแลงและถือปูนทั้งสิ้น รูปทรงและพระพักตร์ก็ไม่ค่อยงามส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นเป็นสถูปรูป ๘ เหลี่ยม มีขนาดเล็กว่ามาก และเป็นสถูปก่อด้วยอิฐไม่มีปูนสอถือปูนภายนอกพระพุทธรูปยืนตามซุ้มนั้นเป็นปางห้ามสมุทร รูปทรงพระพักตร์งามมากเป็นพระพุทธรูปปั้น้ด้วยดินเผาทั้งองค์ ไม่ได้ถือปูนเหมือนองค์ใหญ่ เรื่องนี้ตรวจดูในตำนานแล้วปรากฎว่า


นางจามเทีวีได้สร้างอารามไว้ ๕ แห่ง คือ

๑. หริภุญชัยวิหาร 
๒. มาลุวาราม 
๓. พัทธาราม 
๔. ลัการาม หรือมหาวนาราม 
๕. มหาสีตาราม หรือมหาวิคาราม

 ทั้ง ๕ เหล่านี้เท่าที่ปรากฎในปัจจุบันเพียง ๓ แห่ง

 คือ ลังการามหรือมหาวนาราม คือ
วัดมหาวันพัทธาราม คือวัดพระคงฤษี มหาสีตารามหรือมหาวิดารามคือวัดประตูลี้ วัดทั้ง ๓ นี้ ปรากฎว่า มีพระเครื่องดินเผาบรรจุอยู่ทั้นั้น ใน พระรอดลำพูน อันมีชื่อเสียงก็ได้มาจากวัดมหาวัน 

พระคงก็ได้จากวัดพระคงฤาษี ตลอดจนพระเลี่ยมและพระสิบสองก็ได้จากวัดประตูลี้ ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดจามเทวีนี้ เป็นวัดที่นางจามเทวีสร้างหรือเปล่า อาจสันนิษฐานได้ว่าคงเป็นเช่นนั้นเพราะมีกล่าวไว้โดยละเอียดในตำนานโยนกว่า 


"สร้างอรัญญิกวิหาร ณ เบื้องปราจิณทิศ" และเมื่อราชโอรสทั้ง ๒ สร้างสถูป "สุวรรณจังโกฎิ์" ก็ว่า "ก่อเจดีย์ห้มด้วยแผ่นสุวรรณ บรรุพระอัฐิธาตุไว้ ณ ด้านปราจิณทิศ" เมื่อเป็นดังนี้

 ขอเสนอความเป็นว่า พระเจดีย์แแปดเหลี่ยมองค์นี้ คงเป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นสมัยที่นางจามเทวี สถาปนาอรัญญิการาม (แต่เดิมกล่าวว่า มหันตยศ เป็นผู้สร้างถวาย) เพราะมีพระพุทะรูปดินเผาองค์ใหญ่ เกือบเท่าคน รุ่นเดียวกับ "แม่พระรอด" ดินเผาที่วัดมหาวันเหมือนกัน ฝีมือในการทำก็สูงและประณีตกว่าเจดีย์องค์ใหญ่ ชะรอยนางจามเทวีคงจะได้ช่างขอมาแต่เมืองละโว้ก็ได้ 

 ส่วนเจดีย์สี่เหลี่ยมองค์ใหญ่น่าจะเป็นเจดีย์ที่โอรสทั้ง ๒ สร้าง เพื่อบรรจุอัฐิของนาง ประกอบกับซุ้มที่บรรจุพระพุทธรูปก็มีอยู่ ๓ ซุ้ม อาจจะมีคววมหมายว่า นางและโอรสทั้ง ๒ มาด้วยกันจากละโว้ เมื่อนับพระพุทธรูปทุกด้านและทุกชั้นรวม ๖๐  องค์ ก็นับว่าใกล้เคียงกับระยะเวลาที่นางครองเมืองหริภุญชัยได้ ๕๕ ปีมาก เมื่อหลักฐานมีอยู่เช่นนี้จึงน่าจะกล่าวได้ว่า เจดีย์แปดเหลี่ยมองค์เล็กเป็นขอนางจามเทวีเอง ส่วนเจดีย์ ๔ เหลี่ยมองค์ใหญ่ เป็น "สุวรรณจังโกฎิ์" ของโอรสซึ่งถือว่าเป็นฝีมือมอญ ไม่ใช่ขอม


รวมความว่าวัดจามเทวีในจัหวัดลำพูน ซึ่งเรียกกันโดยมากกว่า "วัดกู่กุฎิ" (แต่ตำนานเรียกว่า" วัดสุวรรณจังโกฎิ์) นั้น มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษี่ ๑๓ คือตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ ลงไป ถึงราว พ.ศ. ๑๒๕๘ ปัจจุบันนี้ยังคงมีเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมองค์ใหญ่ก่อด้วยแลง ตั้งตระหง่านอยู่หลังพระวิหารซึ่งสร้างใหม่ ด้านข้างพระวิหารทางทิศตะวันออกมีเจดีย์เล็กอีกองค์หนึ่ง รูปทรง ๘ เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ พระเจดีย์ทั้งสององค์นี้ทำซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนรอบองค์และทำเป็นชั้นๆ โดยเฉพาะเจีดีย์องค์ใหญ่ มี ๕ ชั้น แต่ละชั้นก็ลดหลั่นขนานกันขึ้นไป

เจดีย์ทั้งสององค์นี้สังเกตุดูลักษณะทรวดทรงและฝีมือคงจะห่างกันไม่ต่ำกว่า ๖๐-๘๐ ปี (ข้อสันนิษฐานจะได้กล่าวในภายหลัง) ลักษณะของพระพุทธรูปเป็นได้ชัดว่าเป็นแบบมอญเขมร หรือที่เรียกกันว่า "ก่อนขอม" ไม่ใช่ขอมในสมัยใหม่ แต่เนื่องจากเป็นปูชนียสถานที่มีลักษณะขอมจึงพากันเข้าใจว่าเป็นฝีมือขอม ประกอบกับได้พบพระเครื่องและองค์พระพุทธรูปตามแบบของขอมอีกด้วย จึงปักใจเชื่อแน่ว่าเป็นฝีมือขอม ความจริงขอมกับเขมรเป็นคนละพวกกัน ส่วนเขมรกับมอญนั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกัน เพราะปรากฏภาษาตระกูลหนึ่งชื่อ ตระกูล ซึ่งเป็นภาษาชนิดคำโดด ส่วนขอมนั้น เป็นพวกนักปกครองและผู้มีความรู้กลุ่มหนึ่งต่างหากไปจากพื้นเมือง

เรียบเรียงบทความเดิมจาก หนังสือ ประวัติสารคดี
วิทย์ พิณคันเงิน พิมพ์เมื่อ  ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๑

ที่พัก ในลำพูน







ขุนหลวงวิลังคะ คือใคร ?

  ขุนหลวงวิลังคะ (พระเจ้าวีวอ แสนหลวง ขุนหลวงบาลังคะ ขุนหลวงบะลังก๊ะ ขุนหลวงพะลังคะ )ต้นกำหนิดเป็นชาวลั๊วหรือละว้าหรือลาวจักราช ซึ่งใน...