วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ผีฟ้าพญาแถน



พญาแถนหรือผีฟ้าหรือผีแถนนั้น ตามตำนานพงศาวดารที่ได้ค้นเจอนั้น ได้บันทึกเป็นภาษาเก่าโบราณ หรือเป็นภาษาลาวพื้นบ้านพอสรุปความได้ว่า
พญาแถน เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปบนชั้นฟ้าทางตอนเหนือและเชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม เดียนเบียนฟู ซึ่งได้เล่าว่า   กาลครั้งนั้น เมืองพญาแถนกับโลกมนุษย์นั้น ติดต่อกันได้ระหว่าง ผีและคนเที่ยวไปมาหาสู่กันเป็นปกติ




และพญาแถนได้ลงมาเที่ยวสั่งสอนว่ากล่าวผู้คนในแถบนั้น  คนที่หนึ่ง เรียกชื่อว่า ปู่ลางเชิง     คนที่สอง ชื่อว่า ขุนเด็กและขุนคาน ได้สร้างบ้านแปงเมืองอยู่ในสถานที่นั้น  ได้สอนว่า "  ในเมืองลุ่มนี้กินข้าวให้บอกให้หมาย กินแลงกินงายก็ให้บอกแก่แถน  ได้กินนขึ้นก็ให้ส่งขา  ได้กินปลาก็ให้ส่งรอยแก่แถน   แต่คนทั้งหลายไม่เชื่อฟังจึงเป็นเหตุให้ พญาแถนนั้นบันดาลให้น้ำท่วมเรือกสวนไร่นายากจนฉิบหายเสียสิ้น

ปู่ลางเชิง ขุนเด็กและขุนคาน รู้ว่า แถนโกรธ  " จึงเอาไม้ขาแรงเฮ็ดแพ เอาไม้แปงเรือนเฮ็ดพ่วง( น่าจะเป็นไม้ใผ่ผูกเป็นแพขึ้นมา พ่วง คือผูก) และเขาจึงเอาลูก
เมียเข้าอยู่ในแพนั้น แล้วปล่อยให้น้ำพัดขึ้นไปเมืองบนฟ้า  แล้วพญาแถนจึงถามเขาว่า ่"ตูใช้ให้ไปกล่าวแก่สูสองสามทีให้ยำแถนยำผีเฒ่ายำเจ้ายืนกาย สูสั่งบ่อฟังคำกูจีงเท่าสูแล้ว" หมายถึงได้สั่งสอนว่ากล่าวสองสามครั้งตามคำบอกกล่าวได้เขียนไว้ข้างต้นเลยต้องเป็นเหตุให้ น้ำท่วมเรือกสวนไร่นาผู้คนต้องลำบากจนต้องต่อแพกลับขึ้นไปหาพญาแถนอีกครั้ง จึงได้ถูกว่ามา



จากนั้นพญาแถนจึงให้ ขุนทั้งสามและครอบครัวได้อยู่ที่เป็นภูเขาหรือดอนเป็นภาษาลาวพื้นบ้าน รอจนน้ำแห้งแล้วค่อยลงมายังเมืองลุ่ม หรือเมืองต่ำนั่นเอง และจึงได้ขอกับพระยาแถนว่า  " ตูข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่อแกว่นแล่นเมืองฟ้าบ่อเป็น ตูข้อยขอไปอยู่เมืองลุ่มลิดเลียง เมืองเพียงพักย่อมพู่นเทอญ " และพญาแถนได้ส่งเขาลงมา เมืองลุ่มดั่งที่ขอ เพราะว่า  ไม่สะดวกจะอยุ่บนฟ้านั้น จึงให้ ควายเขาลู่ และลงมาอยู่ที่ นาน้อยอ้อยหนู พวกเขาจึง ทำไร่ไถนากินประมา สามปี ควายที่มาด้วยนั้นก็ตายลง และอยู่มาไม่นาน เคลือหมากน้ำเต้าก็ออกมาจากฮูดังควาย หรือจมูกของควายตัวที่ตายนั้น  เป็นลูกน้ำเต้า สามลูก โตเท่าประมาณตีนสันเขาที่ปลูกข้าวนั้น    และเมื่อลูกน้ำเต้านั่นแก่ลงก็มีคนเกิดขึ้นในลูกน้ำเต้านั้น เป็นดัง (นางอาสังโนเกิดในท้องดอกบัวเจ้าฤาษีจึงเอามาเลี้ยง) และคนที่เกิดมาในผลน้ำเต้านั้นเป็นกลุ่มหนึ่งหรือฝูงหนึ่งก็ร้องเรียกเสียงกึกก้องดังออกมาในผลน้ำเต้านั้นเอง


เวลานั้น ปู่ลางเชิงจึงเผาเหล็กสีแดงแทงเข้าไปในผลน้ำเต้านั้น และคนกลุ่มนั้นก็ได้เบียดเสียดกันออกมาทางช่องที่ปู่ลางเชิงเจาะแทงทะลุเข้าไปและก็เอาสิ่วนั้นถูไถไปมาให้รูนั้นกว้างออกเป็นช่องประตูใหญ่สามารถออกมาได้ผู้คนเหล่านั้นจึงไหลกันออกมาถึง สามวันสามคืนจึงหมด ่และผู้คนเหล่านั้นที่ไหลออกมา ได้แบ่งเป็น สองกลุ่ม ๆ ที่หนึ่งเรียกว่า ไทยลม  อีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ไทยลี  และออกทางสิ่วอีกทางนั้น แบ่งเป็น สามกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเรียกว่า ไทยเลิง  กลุ่มที่สอง เรียกว่า ไทยลอ กลุ่มสุดท่าย เรียกว่า ไทยควาง



ปู่ลางเชิงจึงได้สอนสั่งให้เขาเหล่านั้น ทำไร่ไถนา ทอผ้าซิ่น เลี้ยงชีพ แล้วก็ปลูกบ้านแปงเรือนมีลูกเมีย และได้สอนให้เขาเหล่านั้น รักพ่อแม่เลี้ยงดูตนเอง เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้ใหญ่ที่แก่ชรากว่าตน  พอพ่อแม่เขาเหล่านั้นตายไปก็ให้เคารพบูชาเหมือนดั่งมีชีวิตอยู่ สืบเป็นบรรพบุรุษ

สรุปความได้ว่า เป็นเรื่องราวที่ได้บันทึกไว้เพื่อบอกกล่าวให้ผู้คนในยุคนั้นได้ทำความดี จะปลูกข้าว ทำอาชีพ ทอผ้าหรือใช้ชีวิตในครอบครัวอย่างไร ให้ระลึกนึกถึง และบูชา พญาแถน ให้ทำคุณความดี ตอบแทนผู้มีคุณ พ่อแม่และสืบทอดต่อๆไปชั่วลูกหลานเป็นคำกล่าวของเนื้อหาบทความทั้งหมด เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็จะเกิดเภทภัย น้ำท่วมฟ้าปลากินดาวทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องประสบเคราะห์กรรม และยังมีนิทานต่อเนื่องจากการเล่าถึง พญาแถน คือ ขุนบูลม ต้นราชวงศ์กษัตริย์ซึ่งได้รับ การเชิญให้ลงมาจุติจากพญาแถน และมีเรื่องราว ต่อเนื่องอ้างอิงถึง บรมกษัตริย์แต่ละพระองค์ ในแว่นแคว้นต่างๆ ถึง ๗ แคว้น โปรดติดตาม (ตอนที่ ๒ ขุนบูลม)

อ้างอิง พญาแถน บันทึกพงศาวดาร ล้านช้าง
ถอดความโดย  ณัฆชาญ ศักดิเมฆากุล
             ken@dventure


ที่พัก เพื่อการท่องเที่ยว  เดียนเบียนฟู เวียดนาม




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขุนหลวงวิลังคะ คือใคร ?

  ขุนหลวงวิลังคะ (พระเจ้าวีวอ แสนหลวง ขุนหลวงบาลังคะ ขุนหลวงบะลังก๊ะ ขุนหลวงพะลังคะ )ต้นกำหนิดเป็นชาวลั๊วหรือละว้าหรือลาวจักราช ซึ่งใน...