วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขุนหลวงวิลังคะ คือใคร ?

 

ขุนหลวงวิลังคะ (พระเจ้าวีวอ แสนหลวง ขุนหลวงบาลังคะ ขุนหลวงบะลังก๊ะ ขุนหลวงพะลังคะ )ต้นกำหนิดเป็นชาวลั๊วหรือละว้าหรือลาวจักราช ซึ่งในอดีตชนกลุ่มนี้ได้ปกครองอาณาจักร ล้านนา รวม 8 ดินแดนเหนือของไทย ซึ่งแต่เดิมได้ขนานนามว่า “นครทัมมิฬา “หรือ “นครมิลังคะกุระ” ซึ่งมีองค์พระอุปติราช ปกครองสืบต่อกันมาจนสิ้น “วงศ์อุปะติ” และเริ่มปกครองใหม่โดย “วงศ์กุนาระ” ซึ่งในสมัยพระเจ้ากุนาระราชา ครองราชย์ได้ทรงเปลี่ยนนามนครมาเป็น”ระมิงค์นคร” และขุนหลวงวิลังคะ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 13 ของระมิงค์นคร ในราชวงศ์กุนาระ เมื่อราวพุทธศักราช 1200


ท่านทรงมีอิทธิฤทธิ์และฝีมือในการพุ่งเสน้า(หอกด้ามยาวมีสองคม) จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว และสิ้น พระชนม์เมื่อพุทธศักราช 1227 เพราะไม่สมหวังในความรักต่อพระนางจามเทวี ที่ปกครองนครหริภุญ ชัย(ลำพูน)ในสมัยเดียวกัน หลังจากขุนหลวงวิลังคะสิ้นพระชนม์แล้ว ชาวลั๊วะ ก็ได้กระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ตามป่า ตามเขาต่างๆ ซึ่งขุนหลวงวิลังคะหรือมะลังก๊ะ กษัตริย์ของชนเผ่าลั๊วะ ได้สร้างอาณาจักรอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ และที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีเมืองสำคัญปรากฏหลักฐานสืบมา เช่น เวียงนพบรี เวียงเชษฐบุรี (เวียงเจ็ดลินปัจจุบัน) และเวียงสวนดอก ก่อนที่จะถูกพระยามังราย แผ่ขยายเข้ามาทำการยึดครอง เพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่

ยุคสมัยที่ขุนหลวงวิลังคะ เรืองอำนาจ ตรงกับสมัยของพระนางจามเทวี กษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญ ชัย(ลำพูน)ผู้มีพระสิริโฉมงดงาม จึงทำให้ขุนหลวงวิลังคะหมายปอง อยากจะได้เป็นชายา แต่พระนางจามเทวีไม่ประสงค์ จะปฏิเสธโดยตรง แต่เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้เกิดการพุ่งเสียเลือดเสียเนื้อได้ ทางพระนางจึงออกอุบายว่า ถ้าหากขุนหลวงวิลังคะ สามารถพุ่งหอกเสน้า(หอกด้ามยาวมีสองคม) จากเชียงใหม่มาถึงลำพูนได้ ก็จะยอมเป็นชายาแต่โดยดี
สำหรับสถานที่ทำการพุ่งหอกนั้น ทางขุนหลวงวิลังคะจะพุ่งลงมาจากยอดดอยปุย ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบริเวณดอยสุเทพ ครั้งแรกที่ลองทดสอบพละกำลังทางขุนหลวงวิลังคะ สามารถพุ่งหอกลงมาจากยอดดอยปุยไปตกบริเวณหลังวัดมหาวัน นอกกำแพงเมืองลำพูน ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า หนองเสน้า เมื่อพระนางจามเทวีทราบว่าทางขุนหลวงวิลังคะ มีความสามารถพุ่งหอกมาถึงเมืองลำพูน พระนางฯจึงวางแผนที่จะกำจัดคุณไสย และทำการข่มกฤติยามนตร์ของขุนหลวงวิลังคะ ด้วยการใช้ซิ่นชั้นในที่เปื้อนเลือดประจำเดือน เย็บติดกับหมวก และซ่อนขนเพชรไว้ในอบเมี่ยงและใช้ปลายใบพลูสอดเข้าไปในโยนี จากนั้นจึงให้ทหารนำส่งมาเป็นของกำนัลแก่ขุนหลวงวิลังคะ

ครั้งเมื่อถึงวันนัดประลองพุ่งหอกเสน้า เมื่อขุนหลวงวิลังคะอมเมี่ยงและสวมหมวกใบนั้น จึงทำให้ไม่สามารถพุ่งหอกเสน้าด้วยพลังมนตราได้อีก หอกได้ตกอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ทำให้พระนางจามเทวีเป็นฝ่ายชนะ ไม่ต้องตกเป็นชายาของกษัตริย์ชาวลั๊วะ

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้ขุนหลวงวิลังคะราช ได้ลุกคิดว่า เพราะเหตุใดอยู่ดีๆจึงเกิดอาการวิงเวียน ใจสั่น เพลียกาย ในวันประลอง จึงรู้ว่าถูกพระนางจามเทวีหลอกและกลั่นแกล้ง เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เกิดความละอายใจ ที่ทำให้ชาวลั๊วะต้องพลอยลำบากกับตนเอง จึงเกิดอารมณ์พุ่งพล่านวิ่งออกไปลานกลางแจ้ง แล้วคว้าหอกเสน้า พุ่งขึ้นฟ้า เมื่อหอกเสน้าดิ่งลงมาจากฟ้า ขุนหลวงวิลังคะก็แบะอกรับหอกเสน้าเสียบทะลุอก ก่อนที่จะสิ้นใจได้เรียกคนใกล้ชิดมาสั่งเสียโดยเปรียบเปรยตนเองว่าเป็นแค่หัวหน้าเผ่าลั๊วะ ไม่มีการศึกษา ไม่มีสติปัญญา มีแต่กำลัง และก่อนที่จะสิ้นใจได้สั่งคนใกล้ชิดอีกว่า ชนเผ่าลั๊วะจะออกจากป่าหาผู้ปกครองที่มั่นคง อย่างพระนางจามเทวีก็ได้ หรือจะตัดสินใจอพยพเข้าป่าให้ห่างเมืองก็ตามใจ จากนั้นก็สิ้นใจ (ตำนานของขุนหลวงวิลังคะยังมีอีกมากมาย ที่นำมาเขียนเป็นแค่บางส่วนเท่านั้นครับและอนุสาวรีย์ขุนหลวงวิลังคะ ตั้งประดิษฐานลานใกล้วัดเมืองก๊ะ ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่)


                  👉👉👉ที่พัก ในเชียงใหม่

ACERA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขุนหลวงวิลังคะ คือใคร ?

  ขุนหลวงวิลังคะ (พระเจ้าวีวอ แสนหลวง ขุนหลวงบาลังคะ ขุนหลวงบะลังก๊ะ ขุนหลวงพะลังคะ )ต้นกำหนิดเป็นชาวลั๊วหรือละว้าหรือลาวจักราช ซึ่งใน...