พระนางจามเทวี ได้รับอัญเชิญให้เสด็จจากเมืองละโว้มาเสวยราชย์ ณ กรุงหริภุญไชย ซึ่งพระฤาษีสี่ตน ได้สร้างถวายขึ้นนั้นพระนางได้ทรงสถาปนาพระอาราม ประจำทวารทั้งสี่ของพระนครขึ้นเรียกว่า จตุรพุทธปราการ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พระนคร ให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ มีความร่มเย็นผาสุข ทั้งปกป้องโพยภัย จากอริราชศัตรูภายนอก และฤาษีทั้งสี่ก็ได้ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล ต่างก็สร้างพระเครื่องของตนขึ้น และบรรจุไว้ในกรุของแต่ละพระอาราม แห่งจตุรพุทธปราการเพื่อสืบอายุพระศาสนาและ เพิ่มเกณฑ์ชะตาพระนคร จตุรพุทธปราการนี้ในปัจจุบันชาวบ้านนิยมกันเป็นสามัญว่า วัดสี่มุมเมือง และบรรดาพระเครื่องสกุลลำพูนของฤาษีต่างก็มีกำเนิดขึ้น ณ กรุของอารามทั้งสี่นี้ ดังคัมภีร์จามเทวีวงศ์กล่าวความไว้ว่า
"..เอวํ สา จินฺตยิตฺวาน ปาโต วุฏฐาย เสยฺยนา สิสนฺหาตา สุจิววตฺถาสพฺพาภรณภูสิตา ปาตราสํ กริตฺวาน สีวิกายํ นิสีทิย มหนฺเตหิ ปริวาเรหิกตฺวาน ปุรํ ปทกฺขิณํ ปาจีนทิสโต ตสฺส กตฺวารณฺญิกรมฺมกํ วิหารํ การยิตฺวา สา พุทฺธรูปณจการยิ ฯลฯ ตโต จ อาพทฺธารามํ ตสฺส อุตฺตรทิสโต เอกํ วิหารํ กตฺวาน ลงฺการามสฺสทาสิ สาตโต มหาวนารามํ ตสฺส ปจฺฉิมทิสโต วิหารํ พุทธรูปญฺจ กาเตฺวา กุฏิกวรํ ตตฺถ สงฺเฆ วสาเปสิ อนฺนปาเนน ตปฺปยิ ตโต มหารตฺตารามํ ทกฺขิณทิสโต วิหารํพุทธรูปญฺจ กาเรตฺวา อติโสภนํตตฺถ สงฺเฆ วสาเปสิ อนฺนปาเนน ภรติ มหาวิหารา ปณฺเจเต จามเทวี สยํ กเต ฯ…
"++ครั้นพระนางได้ดำริอย่างนี้แล้ว ต่อเวลาเช้าก็ลุกจากที่ไสยาสน์ ชำระศิรเกล้า แล้วทรงวัตถา สะอาดประดับอาภรณ์ทั้งปวง เสด็จทรงวอไปทำประทักษิณพระบุรีด้วยตบริวาร แล้วพระนางนั้น
++๑. ได้ให้สร้าง อรัญญิกรัมการาม (ได้แก่วัดดอกแก้ว) ในด้านปาจินทิศแห่งบุรีนั้น สร้างวิหารสร้างพระพุทธรูปด้วย แล้วถวายให้เป็นที่อยู่สงฆ์มีพระเถระเป็นประธาน
๒. ถัดนั้นไป ให้สร้าง อาพัทธาราม (ได้แก่วัดพระคง) ในด้านอุตรทิศแห่งพระบุรี ถวายให้สงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศ
๓. ถัดไปนั้น ได้สร้าง มหาวนาราม (ได้แก่วัดมหาวัน) ในด้านปัจฉิมแห่งนั้น สร้างพระวิหารด้วยสร้างพระพุทธรูปด้วย กุฏิอันบวรด้วย สำหรับพระสงฆ์จำพรรษาในอารามนั้น แล้วเลี้ยงดูด้วยน้ำข้าว
๔. ถัดนั้นไป ให้สร้าง มหารัตตาราม (ได้แก่วัดประตูลี้) ในด้านทักษิณทิศแห่งบุรีนั้น สร้างพระวิหารด้วยพระพุทธรูปด้วย งดงามสุดจะเปรียบปาน ให้พระสงฆ์จำพรรษาในอารามนั้น แล้วเลี้ยงดูด้วยข้าวน้ำ
วัดมหาวัน (วัดมหาวนาราม) ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันตก ห่างจากประตูมหาวัน ซึ่งเป็นทวารพระนครเบื้องตะวันตก ประมาณ ๕๐ เมตร คำว่ามหาวนาราม เป็นคำสนธิของคำว่า มหาวัน กับ อาราม นั่นเอง แสดงว่าพระอารามนี้ยังคงมีนามเช่นเดิมมาตั้งแต่แรกสถาปนา เมื่อ ๑,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว อาร์ เลอเมย์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวไว้ว่า “ในจามเทวีวงศ์กล่าวว่า พระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาพระอารามทั้ง ๕ ขึ้นในลำพูน (รวมถึงจตุรพุทธปราการและสุสานหลวง) และแห่งหนึ่งในพระอารามทั้งนี้ได้แก่ มหาวัน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร วัดนี้ในปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้กับประตูด้านตะวันตก และยังคงมีนามเช่นเดิมอยู่แม้ในทุกวันนี้ ยังได้พบศิลาจารึกภาษามอญหลักหนึ่งที่วัดนี้ด้วย
”-ศิลาจารึกที่ อาร์ เลอ เมย์ กล่าวถึงนี้คือหลักที่ ๑๗๐ (ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๑ ของศาสตราจารย์เซเดส์) ซึ่งได้รับการรักษาไว้ ในพิพิธภัณฑสถาน สาขาจังหวัดลำพูน รวมอยู่กับหลักต่างๆ ที่พบ ณ ที่อื่นๆ ในลำพูน สำหรับคำอ่าน และคำแปลภาษาฝรั่งเศสนั้น ท่านศาสตราจารย์เซเดส์ และอาร์ ฮอลลิเดย์ ได้ทำไว้ใน B.E.F.E.C. ฉบับที่ ๑๐ และ ๒๕ (คือฉบับเดียวกับที่กล่าวถึงศิลาจารึกของวัดดอกแก้ว และอื่นๆ ในลำพูน) สภาพของหลักที่ ๑๗๐ นี้ชำรุด อักษรลบเลือนมาก เนื้อความที่รวบรวมได้มีความกระท่อนกระแท่นมาก แต่ทราบได้ว่าเป็นจารึกของพระเจ้าสรรพสิทธิ์ บอกเรื่องราวการที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระอารามแห่งนี้เป็นอันมาก
กล่าวถึงโลหะต่างๆ ที่ใช้สร้างพระพุทธรูปเงินที่ถวายบำรุงพระอาราม
-พระเจดีย์องค์หนึ่งมีนามว่า พระเจดีย์ราชะ พระพุทธรูป ๒ องค์ ทาสที่ให้ไว้ปฏิบัติบำรุงพระอาราม อุโมงค์ และดินที่ปลูกแล้ว แม้ข้อความที่เก็บได้จะกระท่อนกระแท่น แต่หากเทียบเคียงกับตำนานมูลศาสนาอันทรงคุณค่ายิ่ง จะพบเรื่องราวตามตำนานกล่าวว่า
….ถัดนั้นยังมีพระยาตนหนึ่งชื่อสรรพสิทธิ์เกิดมาได้ ๕ ขวบ เป็นพระยาแทนพ่อ เมื่อเป็นพระยาใหญ่ได้ ๗ ปี ก็ปลงสมบัติไว้ให้กับแม่ แล้วออกบวชเป็นสามเณร เมื่อใหญ่ได้ ๑๐ ปี ให้สร้างมหาวันกับทั้งเจดีย์ เมื่อเสร็จแล้วก็ฉลอง และถวายทานเป็นอันมาก แล้วสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งไว้ในมหาวันนั้น เมื่อท่านมีอายุ ๑๗ ปีจึงศึกออกมาเป็นคน ก็ได้ราชาภิเษกชื่อว่าพระยาสรรพสิทธิ์นั้นแล แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสรรพสิทธิ์บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมหาวัน ทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาวัน และพระเจดีย์ พระเจดีย์ที่ทรงปฏิสังขรณ์นี้คงจะเป็นพระเจดีย์ใหญ่ ซึ่งพระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาขึ้นนั่นเอง เมื่อผสมผสานระหว่างข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑๗๐ และตำนานมูลศาสนาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีการกล่าวถึงพระเจดีย์กรุพระรอด และคำว่าอุโมงค์ คือ กรุภายในเจดีย์ซึ่งเป็นที่บรรจุพระรอดนั่นเอง
ตำนานมูลศาสนา ได้กล่าวเรื่องราวสำคัญของวัดมหาวันไว้อีกตอนหนึ่ง ในสมัยพระยาคำฟูว่า
“ลูกท่านชื่อพระยาคำฟู ออกไปรบเอาเมืองตาก แพร่ ได้เข้ามาถวายแด่พ่อตนมากนัก ตั้งแต่นั้นไปพระยาคำฟูก็ต้องอยู่ในทศพิธราชธรรม แล้วไว้คนสำหรับให้กวาดลานมหาเจดีย์เจ้าด้านละคน ไว้กวาดลานพระพุทธรูปผู้หนึ่ง ไว้กวาดลานมหาโพธิ์ผู้หนึ่งในวัดมหาวันนั้น ถัดนั้นก็ได้ถวายกัปปิยการกเจ้าวัดละคน
”-คำว่า มหาเจดีย์เจ้า ในที่นี้คือ พระเจดีย์โบราณอันเป็นกรุพระรอด ซึ่งพระนางจามเทวีเจ้าได้สถาปนาไว้พร้อมกับพระอาราม ซึ่งในจารึกหลักที่ ๑๗๐ บอกไว้ว่ามีพระพุทธรูป (กยาค) ๒ องค์-ในพระวิหารวัดมหาวัน มีพระพุทธรูปหินสลักลักษณะทำนองเดียวกับพระรอด หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอก แต่ถูกพอกปูนเสียจนไม่เห็นศิลปะเดิม ส่วนคำว่า พระมหาโพธิ์ นั้น น่าจะหมายถึง พระมหาโพธิ์ที่ปลูกขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี เพราะในจารึกมีคำว่าทาสคนหนึ่ง และ ดินที่ปลูกแล้ว เป็นความกระท่อนกระแท่นที่เกี่ยวกับพระศรีมหาโพธิ์ และทาสที่ปฏิบัติบำรุงพระศรีมหาโพธิ์
ทั้งในปัจจุบันนี้ยังมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เบื้องหน้าวัดมหาวัน ตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด อาจจะกล่าวได้ว่า ต้นนี้สืบเชื้อสายมโพธิ์าจากพระศรีมหาโพธิ์ ของพระนางจามเทวีที่ทรงปลูกไว้ ดังที่ในตำนาน และศิลาจารึกกล่าวถึง วัดมหาวันนี้ เป็นพระอารามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกภูมิภาคของเมืองไทย ทั้งนี้มิใช่เรื่องอื่นใด นอกจากเพียงประการเดียวคือ เป็นแหล่งกำเนิดของพระรอด พระเครื่องชั้นยอดของบ้านเมืองเรา
++คำจารึกใต้ฐานพระรูปฤาษีในซุ้มทั้งสี่ของเจดีย์ฤาษี วัดพระคง ได้กล่าวข้อความไว้ดังต่อไปนี้
ด้านเหนือคือ สุเทวฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศเหนือ-ด้านใต้คือ สุกกทันตาฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศใต้-ด้านตะวันออกคือ สุพรหมฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศตะวันออก-ด้านตะวันตกคือ สุมณนารทะฤาษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศตะวันตก“แสดงว่าพระฤาษีทั้งสี่ได้พร้อมใจกันสร้าง พระศักรพุทธปฏิมา สกุลลำพูนบรรจุไว้ในพระสถูปหรือกรุของจตุรพุทธปราการ ซึ้งพระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาขึ้น เป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลพระนางเจ้า และข้อสำคัญก็คือ เพื่อเพิ่มเกณฑ์ชะตาพระนคร และจตุรพุทธปราการให้เรี่ยวแรงแข็งขอบยิ่งขึ้น เป็นอเนกประการ
”-พระสุเทวฤาษี ผู้สร้างพระคงเป็นผู้มาจากเบื้องทิศเหนือแห่งพระนคร คือมาจากอุฉุบรรพต (ดอยอ้อย) หรือดอยสุเทพ ริมฝั่งน้ำโรหิณีนที (ลำน้ำแม่ขาน) จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระศักรพุทธปฏิมาดังกล่าว บรรจุไว้ในสถูปแห่งอาพัทธาราม (วัดพระคง) เพื่อเป็นสิริสวัสดิรักษาแห่งทวารพระนครฝ่ายทิศเหนือ คือ ประตูช้างสี-พระสุกกทันตฤาษี ผู้สร้างพระเลี่ยงและพระฦา ฯลฯ เป็นผู้มาจาริกมาจากเบื้องทิศใต้ของพระนครหริภุญไชย คือมาจากดอยธัมมิก (เขาสมอคอน) แห่งระวะปุระ(ละโว้) จึงเป็นพระอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทพระเครื่องสกุลลำพูนดังกล่าวไว้ ณ มหารัตตาราม (วัดประตูลี้) เพื่อเป็นอาถรรพณ์พุทธวัตถุอารักขา ทวารพระนครฝ่ายทางเบื้องใต้ คือ
ประตูลี้-พระสุพรหมฤาษี ผู้ประดิษฐาน พระบาง พระเปิม พระสาม พระแปด พระสิบสอง และพระเปื๋อย ฯลฯ ผู้มาจาริกจากเบื้องตะวันออกของพระมหานคร คือจากสุภบรรพต(ดอยงาม) ริมฝั่งน้ำวังกะนที(แม่น้ำวัง) เมืองนคร (ลำปางหลวง) จึงเป็นพระอาจารย์ผู้เนรมิตพระศักรพุทธปฏิมาดังกล่าวไว้
ณ กรุของอรัญญิกรัมมการาม (วัดดอกแก้ว) ปกป้องคุ้มครองทวารพระนครฝ่ายตะวันออก คือ ประตูท่าขุนนาง นั่นเทียว-พระสุมณนารทะฤาษี ผู้สร้างพระรอด เป็นพระอาจารย์ผู้มาจากฝ่ายทิศตะวันตกของพระนคร คือจากชุหบรรพต(ดอยอินทนนท์) สานุมหาพน(มหาวัน) ป่าใหญ่เบื้องตะวันตกของหริภุญไชย จึงเป็นพระฤาษีผู้ประกอบปฏิมากรรมแห่งพระรอด บรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์(เจดีย์หลวงมหาวัน)แห่งมหาวนาราม (วัดมหาวัน) เพื่อให้เป็นพลังอิทธิวัตถุอภิบาลทวารพระนครฝ่ายตะวันตก อันได้แก่ ประตูมหาวัน นั้น-พระคง มีความหมายและคุณวิเศษในด้านความพัฒนาสถาพร ความมั่นคงแข็งแรง และความคงกระพันชาตรี คำว่า คง เป็นคำที่ถอดความหมายจากนามเดิมว่า อาพัทธ อันมีความหมายดังกล่าวส่วนนามพระสุเทวฤาษีผู้สร้างนั้น มีความหมายว่าฤาษีผู้เป็นเทพ หรือเทวะผู้ประเสริฐ อนึ่งเทวะนั้นหมายถึง ผู้เป็นอมร หรือ อมตะ กล่าวคือ หมายถึงผู้ชีวิตอันคงกระพัน ไม่รู้จักตาย-พระเลี่ยง แม้จะมิได้มีความหมายของนามสืบเนื่องมาจากนามของพระสุกกทันต ฤาษีผู้สร้าง แต่มีความหมายตามนามของพระอาราม อันเป็นแหล่งกำเนิด และทวารด้านที่พระอารามประจำอยู่
กล่าวคือรัตตาราม(วัดประตูลี้) หมายถึงความหลีกลี้หนีเลี่ยงจากข้าศึกศัตรู เช่นเดียวกับนามของพระเครื่อง ชนิดนี้ที่มีว่า พระเลี่ยง ฉะนั้น-พระฦา คำว่า ฦา นี้อาจมาจาก ฤา หรือฤาษี หรือมิฉะนั้นอาจมาจากคำว่า นาไลย์ อันเป็นนามของพระฤาษีสำคัญในไสยศาสตร์คู่กับพระฤาษีนารอท (ผู้สร้างพระรอด) กล่าวคือ พระสุกกทันตกฤาษี แปลว่า ฤาษีฟันขาว น่าจะเป็นนามฉายามากกว่าที่จะเป็นนามจริง เช่นเดียวกับคำว่า พุทธชฎิลฤาษี อันเป็นนามฉายาของพระฤาษีนารอด ซึ่งมีลักษณะนามบอกให้ทราบว่า เป็นฤาษี ผู้ขมวดมวยผมเป็นกระมุ่ม และคำว่า พุทธ นั้นบอกให้ทราบว่า พระฤาษีตนนี้มีนามเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง คือ พระนารทพุทธเจ้า มาเป็นพระนารทะ ดังนี้เป็นต้น-พระเปิม คำว่า เปิม เข้าใจเพี้ยนมาจากคำว่า พรหม ซึ่งออกเสียงให้ถูกตามเลขจะเป็น พะระหะมะ กล้ำกันเร็วๆ เสียงจะกลายเป็น เพริม หรือ พรัม และเพี้ยนต่อไปเป็น เพิม และ เปิม ในที่สุด คำว่า พรหม ก็คือนามของ พระพรหมฤาษี ผู้สร้างพระเครื่องชนิดนี้นั่นเอง-พระบาง คำว่า บาง อาจจะย่อมาจากคำว่าอาลัมพางค์ หรือลำปาง อันเป็นถิ่นพำนักของพระ สุพรหมฤาษี ผู้สร้างพระเครื่องชนิดนี้นานๆเข้าคำว่า อาลัมพางค์ ก็สั้นๆเข้ากลายเป็นบางไปในที่สุด-พระรอด คำว่า รอด น่าจะเพี้ยนมาจาก รอท หรือ นารทะ อันเป็นนามของพระฤาษีนารอท หรือ พระนารทะฤาษี อย่างแน่นอนที่สุด ดังได้กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าจะสะกด หรือเขียนอย่างไร ก็จมีความหมายว่าแคล้วคลาดและปลอดภัย
++กำหนดอายุการสร้าง++-ดังได้กล่าวแล้วว่า
พระนางจามเทวีได้ทรงสถาปนาพระอารามทั้งสี่ คือ จตุรพุทธปราการ (วัดสี่มุมเมือง) ในปี พ.ศ. ๑๒๒๓ เมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ ๕๓ ชันษา และพระราชโอรสทั้งสองคือ เจ้าอนันตยศและเจ้ามหัตยศมีพระชนมายุ ๑๘ ชันษา และพระคณาจารย์อันได้แก่พระฤาษีทั้งสี่ ก็ประชุมพิธีสร้างพระศักรพุทธปฏิมาสกุลลำพูนขึ้น บรรจุไว้ในแต่ละแห่งของจตุรพุทธปราการเพราะฉะนั้น พระรอดและพระเครื่องสกุลลำพูน จึงได้รับการสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๒๒๓ นั่นเอง มีอายุการสร้างปัจจุบันนี้ ๒๕๔๘ ได้ ๑,๓๒๕ ปี นับว่าเป็นพระเครื่องที่เก่าแก่ หรือมีอาวุโสสูงที่สุดในบรรดาพระเครื่องทั้งหลาย++วัดมหาวัน (มหาวนาราม) ได้มีการขุดหาพระรอดกันหลายครั้งหลายหน จนประมาณครั้งมิได้เท่าที่สืบทราบได้มาดังต่อไปนี้
++-การพบกรุพระรอดในสมัยเจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๓๕- ๒๔๔๕ พระเจดีย์มหาวันชำรุดทรุดโทรมและพังทลายลงมาเป็นส่วนมากดังนั้น เจ้าเหมพินธุไพจิตรจึงดำริให้มีการปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ โดยการสร้างสวมครอบองค์เดิมลงไป และเศษที่ปรักหักพังที่กองทับถมกันอยู่นั้น ได้จัดการให้โกยเอาไปถมหนองน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างหอสมุดของวัด ได้พบพระรอดเป็นจำนวนมากมายในกรุเจดีย์มหาวันนั้น พระรอดส่วนหนึ่งได้รับการบรรจุกรุกลับคืนเข้าไปในพระเจดีย์ตามเดิม อีกส่วนหนึ่งมีผู้นำไปสักการบูชา และส่วนสุดท้ายนั้นปะปนกับซากกรุ และเศษดินทรายจมอยู่ในหนองน้ำดังกล่าว
-การพบพระรอดในสมัยเจ้าหลวงอินทยงยศ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ครั้งนั้น เจ้าหลวงอินทยงยศได้พิจารณาเห็นว่า มีต้นโพธิ์ขึ้นแทรกตรงบริเวณฐานพระเจดีย์มหาวัน และรากชอนลึกลงไปภายในองพระเจดีย์มหาวัน ทำให้มีรอยร้าว ชำรุดหลายแห่ง จึงใช้ช่างรื้อฐานรอบนอกพระเจดีย์ออกเสียและปฏิสังขรณ์ใหม่ การกระทำครั้งนี้ได้พบพระรอด ซึ่งเจ้าเหมพินธุไพจิตรรวบรวมบรรจุไว้ในคราวบูรณะครั้งใหญ่นั้น เป็นจำนวน ๑ กระซ้าบาตร (ตะกร้าบรรจุข้าวตักบาตร) ได้นำมาแจกจ่ายบรรดาญาติวงศ์ (เจ้าหลวงจักคำ ขจรศักดิ์ ผู้เป็นบุตร ในสมัยนั้นยังเป็นหนุ่ม ก็ไดรับพระรอดจากพ่อไว้เป็นจำนวนมาก และเป็นมรดกตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ และทั้งได้จัดพิธีสร้างพระรอดรุ่นใหม่ขึ้นบรรจุไว้แทน ส่วนฐานพระเจดีย์ที่ปฏิสังขรณ์ใหม่นั้น ก็ยังให้ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม-การขุดหาพระรอดในฤดูแล้ง นับแต่สมัยปฏิสังขรณ์มหาวันเจดีย์เป็นต้นมา นับวันยิ่งปรากฏมีผู้ศรัทธาเลื่อมใส ในคุณวิเศษของพระรอดอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะคุณวิเศษของพระรอด เป็นมหัศจรรย์อย่างสูงแก่ผู้ที่มีไว้สักการบูชา จึงมีผู้พากันขุดหาพระรอดกันภายในบริเวณอุปาจารของวัด ตรงบริเวณที่เคยเป็นแอ่งน้ำ ได้พระรอดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ต่อไปก็ขยายบริเวณการขุดออกไปอย่างกว้างขวางทั่วอุปาจารของวัด และได้กระทำติดต่อกันมานานปี จนกลายเป็นประเพณีกลายๆ ของชาวบ้านลำพูน คือในฤดูแล้งภายหลังการเก็บเกี่ยวแล้ว คือระหว่างเดือน ๔ ถึงเดือน ๖ ทุกปี จะมีชาวบ้านมาขุดหาพระรอดกันในวัดมหาวัน จนพื้นที่ของวัดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทางวัดจึงห้ามการขุดกันอีกต่อไป
-การขุดพระรอดในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เนื่องจากมีการปฏิสังขรณ์กุฏิเจ้าอาวาสวัดมหาวัน ในการขุดดินเพื่อลงรากฐานการก่อสร้างและใต้ถุนกุฏิ ได้พบพระรอดเป็นจำนวนประมาณ ๒๐๐ องค์เศษ ทุกองค์จัดว่าเป็นพระรอดที่เนื้องามทั้งสิ้น มีวรรณะผุดผ่องงดงามยิ่งนัก และมีหลายพิมพ์ทรงแทบจะไม่ซ้ำกันเลย ได้เริ่มขุดในมกราคม สิ้นสุดในสิงหาคม นอกจากพระรอดแล้ว ยังขุดได้พระเครื่องสกุลลำพูนอีกหลายชนิด เช่น พระคง พระบาง พระเลี่ยง พระสาม พระสิบ พระสิบสอง พระงบน้ำอ้อย พระกล้วย พระกวาง และพระแผ่นทอง เป็นต้น-การขุดพบพระรอดในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ทางวัดมหาวันได้เริ่มการรื้อพระอุโบสถเพื่อปฏิสังขรณ์ ได้พบพระรอดประมาณ ๒๐๐ องค์เศษ ภายใต้พื้นพระอุโบสถนั้น พระรอดจำนวนหนึ่งได้มีผู้นำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ ในราคาสูงมาก และส่วนมากเป็นพระชำรุดและเนื้อไม่จัด ยิ่งกว่านั้น บางองค์ที่พระพักตร์ชัดเจน จะมีลักษณะพระเนตร พระนาสิก พระโอษฐ์โปนเด่น หัตถ์มี ๖ นิ้ว
++พระรอดมีพิมพ์นิยมในวงการพระเครื่อง ๕ พิมพ์ด้วยกัน คือ
++๑. พิมพ์ใหญ่๒. พิมพ์กลาง๓. พิมพ์เล็ก๔. พิมพ์ตื้น๕. พิมพ์ต้อ-พระรอดได้ขุดพบที่วัดมหาวัน พุทธศิลปะในยุคกลางของสมัยหริภุญไชย (ลำพูน) อาณาจักรหริภุญไชยสร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เป็นอาณาจักรของกลุ่มชนมอญโบราณทางภาคเหนือของประเทศไทย รับนับถือพระพุทธศาสนาหินยานใช้ภาษาบาลีจดจำคำสอนทางศาสนา ได้มีการกำหนดอายุสมัยและศิลปะพระรอดว่า สร้างในสมัยกษัตริย์จามเทวี เป็นยุคต้นของสมัยหริภุญไชย มีศิลปะสมัยทวารวดี ในทางพุทธศิปะแล้ว พระรอดน่าจะมีอายุ อยู่ในช่วงหลังสมัยทวารวดี รูปแบบของพระรอดคือประทับพระบาทสมาธิเพชร (ท่านั่งขัดเพชร)ในสมัยทวารวดีสร้างพระพุทธรูปนั่งขัดหลวมและหงายฝ่าพระบาทกางออก และไม่ปรากฏพระพุทธรูปนั่งขัดเพชรในศิลปะทวารวดี พระพุทธรูปนั่งขัดเพชร เป็นแบบอย่างเฉพาะของพระพุทธรูปอินเดียฝ่ายเหนือ (มหายาน) พระพุทธรูป และพระเครื่องในลำพูน ได้ปรากฏศิลปะสมัยต่างๆ รวมอยู่หลายสมัย คือ สมัยทวารวดี ลพบุรี แบบหริภุญไชย พุกาม อู่ทองและสมัยล้านนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น