นางจามเทวี เป็นราชธิดาของพระยาจักกวัตติ เจ้าผู้ครองกรุงละโว้ นางเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม มีศีลาจารวัตรอันสม่ำเสมอและงดงามเป็นที่เลื่องลือไหปทัวสารทิศ ได้เษกสมรสกับอุปราชแห่งนครรามปุระ ซึ่งเป็นหัวเมืองของกรุงละโว้ จนตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน จึงอำมาตย์ราทูตจากหริภุญชั ถือสาร์นของ ฤษีวาสุเทพ กับฤษีสุกกทันต มาขอให้นางขั้นไปครองราช นางจามเทวีนี้พิจารณาตามตำนานแล้วคงจะไม่ใช่ราชธิดาอันแท้จริงของ พระเจ้ากรุงละโว้ อย่างน้อยก็คงเป็นราชธิดาบุญธรรม หรืออาจะเป็นตัวจำนำที่พระเจ้ากรุงละโว้ได้มาตั้งแต่ยังเล็กอยู่ก็ได้ เคยมีผู้พิจาณาว่า หริภุญชัยเป็นเมืองลูกหลวงของละโว้อีกทีหนึ่ง ทั้งฤษีสุกกทันตก็คงจะได้เคยรู้จักนางจามเทวีมาตั้งแต่เล็ก เพราะมีความตอนหนึ่งกล่าวว่า ในสามเทศะนี้ มีตำบลชื่อทวะกะวาม เป็นที่อยู่งของพวกเมงคะบุต สามเทศะ คือ เสียมเทศ หรือสยามประเทศ เมงคบุตร หมายความว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของพวกมอญ เขมรทีเดียว พวกเหล่านี้เคยถูกรุกรานหลายครั้งประกอบกับคำว่า ละโว้ นั้น อาจมาจากคำว่า ละว้า ก็ได้ ดังนั้นแม้กระทั่งคนในเมืองละโว้เองก็ไม่น่าจะเป็นขอมทั้งหมด เพราะถ้าละโว้มาจากละว้าก็น่าจะเป็นเมืองของพวกละว้าก่อนแล้วพวกทวาราดีที่เป็นมอญก็มาตีเอาไว้ในอำนาจของตน และที่ว่าเป็นมอญนั้น ก็ใช่ว่าจะหมดทั้งอาณาจักร์ คงจะมีพวกที่ไม่ใช่มอญ แต่พูดภาษามอญบ้างก็ได้ อีกประหนึ่ง คำว่า จามเทวี และ สามเทสะนี้ ถ้าคำว่าจามมา จากสามก็น่าจะเป็นไปได้เพราะ สามเทีวี ก็หมายหถึง นาพญาแห่งประเทศ สาม ซึ่งก็จะไได้ความชัดขึ้นอีกมาก
ส่วนเรื่องเมืองหริภุญชัยนั้น ปรากฎว่าเป็นเมืองที่ฤษีวาสุเทพ กับฤษีสุกกทันตสร้างขึ้น เมื่อสร้างขึ้นแล้วก้มีสารน์ไปขอให้นางจามเทวีขึ้นไปครอง อันนี้น่าจะพิจารณาว่า เมื่อฤษีสุกกทันเป็นมอญ เหตุใดจึงขอเชื้อสายราชวงศ์ของพวกขอมขึ้นไปครอง อย่างไรเสียฤษีสักกทันตก็คงได้รู้จักกับนางจามเทวีมาตั้งแต่ยังเยาว์อยู่ ส่วนพระเจ้าจักกวัตติผู้ครองเมืองละโว้นั้นก็อาจเป็นมอญด้วย ถ้าหากเป็นพระชนกของนางจามเทวีจริงๆหรือถ้าพระเจ้าจักกวัตติเป็นขอม นางจามเทวีก็น่าจะเป็นราชธิดาบุญธรรม เพราะปรากฎว่าระยะน้้นพวกขอมกลับมามีอำนาจอยู่นละโว้บ้างแล้ว แต่จะเป็นกษัตริย์ก็ไม่อาจสันนิษฐานได้แน่ถ้าเพระเจ้าจักกวัตติเป็นขอม นางจามเทวีก็คงเป็นบุตรีของเจ้าเมืองมอญ บางแห่งที่ถูกปราบปรามและถุกยึดเอามาเป็นตัวจำนำ ประกอบกับฤษีสุกกทันก็คงขึ้นไปจากทางใต้ ถ้ามิฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงกลับไปอาศัยอยู่ที่ภูเขา เมืองละโว้ ดังกลาวไว้ในตำนานโยนก ซึ่งตรงกับนำนานจามเทวีวงศ์ที่ว่า ฤษีสุกกทันตะไปอาศัยอยู่ที่ยอดเขาธรรมิกบรรพต หรือ"เขาสมอคอน"ในเขตแดนละโว้นคร ส่วนฤษีวาสุเทพ ซึ่งเป็นเพื่อนกับฤษีสุกกทันตนั้นได้เนรมิตเมืองหลายครั้ง แต่ก็มีอันเป็นต้องพินาศล่มจมไปในที่สุด จึงชักชวนฤษีสุกกทันตให้ขึ้นไปช่วยกันสร้างเมืองใหม่ ตอนนี้ถ้าจะสันนิษฐานให้นอกออกไปจากตำนานก็ต้องกล่าวว่าเป็นนโยบายการขยายอาณาเขตของพวกทวาราวดีแห่งเมืองละโว้ ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นพวกออกไปสำรวจทำเลที่ตั้งเมือง อีกฝ่ายหนึ่งคอยตระเตรียมกำลังผู้คนและสรรพสิ่งของไว้แต่เมื่อเป็นตำนานก็เลยกลายเป็นฤทธิ์เดชอภินาหารไปสิ้น
ฤษีทั้ง ๒ เหาะมาพบกันกลางอากาศ แล้วร่อนลงมาปฏิสันถารกต่อกันยังพื้นดิน ที่ตรงนั้นกล่าวกันว่า คือที่ตำบลเชียงครึ่งในบัดนี้ ปรึกษากันจนเป็นที่ตกลงแล้วก็ช่วยกันเนรมิตเมืองขึ้นใหม่ โดยอาศัยฤาษีองค์หนึ่งชื่อฤาษีอนุสิษฎ์ ใช้ให้นำหัสดีสิงค์ไปคาบเอาหอยสังข์มาจากมหาสมุทร แล้วเอารูปหอยสังข์นั้นมาทำเป็นรูปผังเมือง มีปริมณฑกว้าง ๒๒๕๐ เส้น ยาว ๑๒๗ เส้นกับ ๑๐ วา สร้างป้อมปราการ ปราสาทราชมณเฑียรพระลอุทยานพระลานหลวงสถานรัถยา คลังแก้ว สระ สะพานถ้วนทุกสิ่งแล้ว ก็มาปรึกษากันอีกว่า จะให้ใครมาครองดี ฤษีสุกกทันออกความเห็นว่า ควรจะขอเอานางจามเทวีมาครอง เรื่องจึงมาถึงตอนที่กล่าวไว้แต่เบื้องต้น
นางจามเทวีนั้น เมื่อได้ทราบแล้วจะเต็มใจแต่แรกหรือเป็นคำสั่งของพระเจัากรุงละโว้ก็ไม่ทราบได้ แต่ปรากฎว่านางจามเทวีต้องพรากจากสวามีที่เป็นอุปราชเมืองราปุระ (ในชินกาลมาลินีกลล่าวว่าเป็นพระยารามัญ เมืองสุธรรมาวดี) ซึ่งเชื่อได้แน่ว่าไม่ใช่พวกขอม สันนิษฐานได้ว่า นางจามเทวีทรงความเป็น "เมงคบุตร" น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง อย่างไรเสียก็คงตัั้งใจจะให้สวามี ซึ่งเป็นเชื้ัอสายเมงคบุตร คุมเชิงรักษาอำนาจอยู่ทางกรุงละโว้ก่อน และตต้องนับว่าเป็นการตัดสิน่ใจที่เด็ดเดี่ยวมากนางจามเทวีคงจะคร่ำครวญ อาลัยอาวรณ์กับสวามีเป็นอันมากต่อจากนั้นก็มีพิธีอภิษกยกนางจามเทีวีเป็นนางพญาแห่งหริภุญชัย (บางแห่งว่าไปจัดพิธีอภิเษกที่นครหริภุญชัย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เหพราะอพถึงหริภุญชัยได้ ๗ วัน นางก็ประสูติโอรส) การอภิเษกครั้งนีี้จะเป็นไปโดยมีนโยบายอื่นแทรกแซงด้วยหรือไม่ก็ชวนให้น่าคิด การอภิเศกดำเนินไปถึง ๗ วัน ๗ คืน จึงเตรียมการเดินทาง มีขบวนพระภิกษุสงฆ์และสิ่งสักการบูชา ชีปะขาวราชบัณฑิต ราชครู ตลอดจนช่าฝีมือ ไปด้วยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
นางต้องเสียเวลาเดินทางตั้ง ๗ เดือน ที่ตั้องเสียเวลาช้าอย่างนี้ก็คงจะเป็นเพราะนางต้องมาทางชลมารค ด้วยกำลังทรงครรภ์ ทางอื่นนั้นอาจจะลำบาก กระทบกระเทือนต่อพระหน่อในพระครรภ์ก็ได้ เมื่อลวงขึ้นมาถุึงเมืองฮอดแล้ว ก็ให้หยุดทำเลที่พัก่อน ระยะทางที่ผ่านมานี้เลยกลายเป็นชื่อตำบลไปหลายแห่ง เช่น
ที่นางหยุดตากผ้าก็ชื่อว่า ตำบลบ้านตากผ้า ที่ซึ่งพวกไร่พลง่วงเหงาหาวนอน ก็เรียกว่า ตำบล สามเหงา ซึ่้งเพี้ยนไปจากคำว่า "จามเหงา" นอกจากนั้น ทุกแห่งที่นางผ่าน่มานี้ได้ขึ้นเผยแพร่พระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงเมืองต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ประกอบกับไม่ได้รีบร้อนเดินทงนัก จึงกินเวลาถึง ๗ เดือน ที่เมืองฮอดนี้ก็ได้สร้างเจดีย์เอาไว้องค์หนึ่ง มีรูปทรงประหลาด
นางได้ขึ้นที่ท่าเชียงหลง ซึ่งนับว่าสุดทางตรงนั้น แล้วให้เสี่ยงยิงธนูไปทางทิศเหนือเพื่อสร้าง " เวียงเล็ก" ไว้ คอยฤกษ์ที่จะเข้าเมืองหริภุญชัย ตรงที่ลุกธนุตกนี้เองนางได้ให้สร้างพระอารามขึ้นในตำบลโยนกว่า "วัดละโว้" ปัจจุบันเรียกว่า "วัดกู่ละมัก" ดังนั้นวัดกู่ละมักจึงมีกชื่อหนึ่งว่า "วัดรมณียาราม" นางจาเทวีได้อัญเชิญพระปฏิมากร "หินดำ"ที่เรียกว่า พระสีขีพุทธะปฏิมา จากละโว้มาด้วย แล้วประดิษฐานไว้ในวัดกู่ละมักหรือ "ละมักการาม"
เมื่อนางจามเทวีมาถึงหริภุญชัยใน พ.ศ. ๑๒๐๕ ได้ทำพิธี มรุธาภิเษกตามระเบียบวิธีการครองเมือง ดังกล่าวไว้ในเรื่องชินกาลมาลีปกรณ์ว่า
"ได้อัญเชิญพระนางจามเทีวีนั้นนั่งบน กองทองคำแล้วอภิเษกอาศัยเหตุที่พระนางนั่งบนกองทองคำ อภิเษกนครนั้นจึงชื่อว่า หริภุญชัยสืบมาจนทุกวันนี้ (แต่คำว่า "หริ" นี้ กล่วกันว่าเป็นนามหนึ่งของพระนารายณ์พระเป็นเจ้าของมนุษย์ จึงมีผู้คิดกันว่า เมืองนี้ที่จะตั้งชื่อเอานิมิตรนามพระนารายณ์เป็นสิ่งป้องกันภัยพิบัติกระมัง)
ต่อมาอีก ๗ วัน ก็ประสูติโอรสแฝดองค์พี่ มหันตยศ องค์น้องชื่อ อนันตยศ ครั้นชันษาได้ ๗ ปี มีพระยามีลักขะ (คำเดิมเรียกว่า ลกขุนทรโย " มาจากคำว่า ลกขุ อินทรยะ แปลว่า เผ่ามิลักขะใหญ่ บางแห่งกล่าวว่าคือไทยใหญ่) ยกทัพมาตีเมืองหริภุญชัย ในตำนานโยนกกล่าวว่า เป็นขุนลัวะ ชื่อ วิลังคะ (ในชินกาลมาลีปกรณ์ว่า ชื่อ ลันขุนทรีย์ ) เป็นใหญ่อยู่ในพวกลัวะแห่งขุนเขาแถบดอยสุเทพ (อุฉุจบรรพต) ขุนลัวะผู้นี้มีความพิสมัยในรูปโฉมนางามเทวีได้แต่งทูตถือบรรณาการมาแจ้งให้ทราบ นางจามเทวีก็พิโรธไล่ทูตออกไปจากเมือง ขุนลัวะได้ทราบ ก็แค้นเคืองยกทัพมาตีเจ้าชายมหันตยศ และเจ้าชายอนันตยศขึ้นประทับคอช้างในขณะที่มีชันษาเพียง ๗ ปี คุมพลออกไปสู้รบ ขุนลัวะแพ้บารมีต้องหนีไป ภายหลังเจ้าชายทั้ ๒ องค์ก็สามารถปราบพวกลัวะได้ราบคาบ จนได้ธิดาของขุนลัวะมา ๒ คน เจ้าชายอนันตยศนั้น ได้ไปครองเมืองเขลางค์ ซึ่งฤษีสุพรหมเป็นผู้สร้างให้ ส่วนเจ้าชายมหันตยศได้ครองเมืองหริภุญชัยสืบมา
นางจามเทวีอยู่ครองเมืองหริหภุญชัยด้วยทศพิธราชธรรมมาถึง ๕๓ ปี พระชนมายุได้ ๙๒ ปี ก็สวรรคต
ราชโอรสพี่น้องได้สร้างสถูปเจดีย์ขึ้นทางตะวันตก (ปัจฉิมทิศ) ของตัวเมืองปลงพระศพแล้วอัญเชิญอัฐิธาตุเข้าบรรจุไว้ภายใน สถูปเจดีย์ นี่คือสถูปสุวรรณจังโกฎิ์หรือกู่กุตนั่นเอง และที่สถูปเจดีย์มีแบบอย่างขอมก็อาจเป็นเพราะแบบอย่างทางศิลปกรรมของขอมเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่ไปก็ได้ ประกอบกับพวกขอมก็ได้ชื่อว่าเป็นพวกมีวิชาความรู้ อย่างไรเสียก็คงจะอาสาสมัครมาอยู่เมืองหริภุญชัยบ้าง
ปัจจุบันนี้ สถูปเจดีย์มีอยู่ ๒ องค์ คือองค์เล็กกับองค์ใหญ่และถ้าจะพิจารณากันแล้ว รูปทรงโดยแท้จริงขององค์สถูปแม่ได้แสดงลักษณะของขอมออกมาอย่างชัดเจน จะมีแต่พระพุทธรูป และซุ้มเท่านั้น การที่จะสันนิษฐานว่า องค์ไหนสร้างก่อนก็อาจจะดูได้จากแบบอย่างและวัสดุที่ใช้
สถูปองค์ใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม ก่อด้วยแลงทั้งองค์และถือปูนภายนอก มีซุ้มพระพุทธรูปด้านละ ๓ ซุ้ม และเรียงขึ้นไป ๕ ชั้นตามชั้นทั้ง ๕ ชั้นนั้น ตรงมุมทำเป็นสถูปเล็กๆ ตั้งอยู่บนบัวซ้อน ซึ่งไม่ใช่แบบของขอมเลย จะมีอยู่บ้างก็
ตรงซุ้มประตูที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน เข้าใจว่าจะ เป็นปรางค์รำพึง ล้วนเป็นพระพุทธรูป ก่อด้วยแลงและถือปูนทั้งสิ้น รูปทรงและพระพักตร์ก็ไม่ค่อยงามส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นเป็นสถูปรูป ๘ เหลี่ยม มีขนาดเล็กว่ามาก และเป็นสถูปก่อด้วยอิฐไม่มีปูนสอถือปูนภายนอกพระพุทธรูปยืนตามซุ้มนั้นเป็นปางห้ามสมุทร รูปทรงพระพักตร์งามมากเป็นพระพุทธรูปปั้น้ด้วยดินเผาทั้งองค์ ไม่ได้ถือปูนเหมือนองค์ใหญ่ เรื่องนี้ตรวจดูในตำนานแล้วปรากฎว่า
นางจามเทีวีได้สร้างอารามไว้ ๕ แห่ง คือ
๑. หริภุญชัยวิหาร
๒. มาลุวาราม
๓. พัทธาราม
๔. ลัการาม หรือมหาวนาราม
๕. มหาสีตาราม หรือมหาวิคาราม
ทั้ง ๕ เหล่านี้เท่าที่ปรากฎในปัจจุบันเพียง ๓ แห่ง
คือ ลังการามหรือมหาวนาราม คือ
วัดมหาวันพัทธาราม คือวัดพระคงฤษี มหาสีตารามหรือมหาวิดารามคือวัดประตูลี้ วัดทั้ง ๓ นี้ ปรากฎว่า มีพระเครื่องดินเผาบรรจุอยู่ทั้นั้น ใน พระรอดลำพูน อันมีชื่อเสียงก็ได้มาจากวัดมหาวัน
พระคงก็ได้จากวัดพระคงฤาษี ตลอดจนพระเลี่ยมและพระสิบสองก็ได้จากวัดประตูลี้ ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดจามเทวีนี้ เป็นวัดที่นางจามเทวีสร้างหรือเปล่า อาจสันนิษฐานได้ว่าคงเป็นเช่นนั้นเพราะมีกล่าวไว้โดยละเอียดในตำนานโยนกว่า
"สร้างอรัญญิกวิหาร ณ เบื้องปราจิณทิศ" และเมื่อราชโอรสทั้ง ๒ สร้างสถูป "สุวรรณจังโกฎิ์" ก็ว่า "ก่อเจดีย์ห้มด้วยแผ่นสุวรรณ บรรุพระอัฐิธาตุไว้ ณ ด้านปราจิณทิศ" เมื่อเป็นดังนี้
ขอเสนอความเป็นว่า พระเจดีย์แแปดเหลี่ยมองค์นี้ คงเป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นสมัยที่นางจามเทวี สถาปนาอรัญญิการาม (แต่เดิมกล่าวว่า มหันตยศ เป็นผู้สร้างถวาย) เพราะมีพระพุทะรูปดินเผาองค์ใหญ่ เกือบเท่าคน รุ่นเดียวกับ "แม่พระรอด" ดินเผาที่วัดมหาวันเหมือนกัน ฝีมือในการทำก็สูงและประณีตกว่าเจดีย์องค์ใหญ่ ชะรอยนางจามเทวีคงจะได้ช่างขอมาแต่เมืองละโว้ก็ได้
ส่วนเจดีย์สี่เหลี่ยมองค์ใหญ่น่าจะเป็นเจดีย์ที่โอรสทั้ง ๒ สร้าง เพื่อบรรจุอัฐิของนาง ประกอบกับซุ้มที่บรรจุพระพุทธรูปก็มีอยู่ ๓ ซุ้ม อาจจะมีคววมหมายว่า นางและโอรสทั้ง ๒ มาด้วยกันจากละโว้ เมื่อนับพระพุทธรูปทุกด้านและทุกชั้นรวม ๖๐ องค์ ก็นับว่าใกล้เคียงกับระยะเวลาที่นางครองเมืองหริภุญชัยได้ ๕๕ ปีมาก เมื่อหลักฐานมีอยู่เช่นนี้จึงน่าจะกล่าวได้ว่า เจดีย์แปดเหลี่ยมองค์เล็กเป็นขอนางจามเทวีเอง ส่วนเจดีย์ ๔ เหลี่ยมองค์ใหญ่ เป็น "สุวรรณจังโกฎิ์" ของโอรสซึ่งถือว่าเป็นฝีมือมอญ ไม่ใช่ขอม
รวมความว่าวัดจามเทวีในจัหวัดลำพูน ซึ่งเรียกกันโดยมากกว่า "วัดกู่กุฎิ" (แต่ตำนานเรียกว่า" วัดสุวรรณจังโกฎิ์) นั้น มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษี่ ๑๓ คือตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ ลงไป ถึงราว พ.ศ. ๑๒๕๘ ปัจจุบันนี้ยังคงมีเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมองค์ใหญ่ก่อด้วยแลง ตั้งตระหง่านอยู่หลังพระวิหารซึ่งสร้างใหม่ ด้านข้างพระวิหารทางทิศตะวันออกมีเจดีย์เล็กอีกองค์หนึ่ง รูปทรง ๘ เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ พระเจดีย์ทั้งสององค์นี้ทำซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนรอบองค์และทำเป็นชั้นๆ โดยเฉพาะเจีดีย์องค์ใหญ่ มี ๕ ชั้น แต่ละชั้นก็ลดหลั่นขนานกันขึ้นไป
เจดีย์ทั้งสององค์นี้สังเกตุดูลักษณะทรวดทรงและฝีมือคงจะห่างกันไม่ต่ำกว่า ๖๐-๘๐ ปี (ข้อสันนิษฐานจะได้กล่าวในภายหลัง) ลักษณะของพระพุทธรูปเป็นได้ชัดว่าเป็นแบบมอญเขมร หรือที่เรียกกันว่า "ก่อนขอม" ไม่ใช่ขอมในสมัยใหม่ แต่เนื่องจากเป็นปูชนียสถานที่มีลักษณะขอมจึงพากันเข้าใจว่าเป็นฝีมือขอม ประกอบกับได้พบพระเครื่องและองค์พระพุทธรูปตามแบบของขอมอีกด้วย จึงปักใจเชื่อแน่ว่าเป็นฝีมือขอม ความจริงขอมกับเขมรเป็นคนละพวกกัน ส่วนเขมรกับมอญนั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกัน เพราะปรากฏภาษาตระกูลหนึ่งชื่อ ตระกูล ซึ่งเป็นภาษาชนิดคำโดด ส่วนขอมนั้น เป็นพวกนักปกครองและผู้มีความรู้กลุ่มหนึ่งต่างหากไปจากพื้นเมือง
เรียบเรียงบทความเดิมจาก หนังสือ ประวัติสารคดี
วิทย์ พิณคันเงิน พิมพ์เมื่อ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น